ตลอดระยะเวลากว่า 2 ปีที่ผ่านมา ภาพของสถานการณ์โควิด-19 ในสายตาของคนทั่วไปอาจเห็นว่าเป้นช่วงเวลาย้ำแย่ที่สุดครั้งหนึ่งที่เกิดขึ้น และส่งผลกระทบกับธุรกิจและเศรษฐกิจอย่างมาก จนบางคนเปรยว่าเป็นหายนะระดับโลกก็ว่าได้
ทว่าสำหรับนักธุรกิจบางคนแล้ว วิกฤตครั้งนี้ทำให้พวกเขาได้เห็นโอกาลอะไรบางอย่างในห้วงจังหวะนี้ เช่นเดียวกับเชเลบริตี้ลาว “ณิณี-อนุษฐา เชาว์วิศิษฐ” ดีกรีนักธุรกิจสาว ในฐานะกรรมการบริษัท เจเอโอ อามายะ (ไทยแลนด์) จำกัด ที่มองเห็นว่าวิกฤตโควิด-19 ที่เกิดขึ้นมาตั้งแต่ปลายปี 2562 จนถึงวันนี้ อาจทำให้ธุรกิจบอบช้ำก็ตาม แต่ก็เป็นช่วงจังหวะสำคัญที่จะทำให้หลายๆ ธุรกิจหันมามองตัวเองกับสิ่งที่ทำอยู่ ว่าควรจะปรับตัว หรือเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร
“อย่างที่รู้กันว่าวิกฤตนี้ทำให้เกิดความหดหู่ และส่งผลกระทบกับธุรกิจมากมาย ซึ่งธุรกิจที่ตัวเราทำอยู่ก็ได้รับผลกระทบไม่ต่างจากธุรกิจอื่นเหมือนกัน ทุกธุรกิจได้รับผลกระทบหมด แต่ก็พยายามไม่คิดถึงนะคะ เพราะรู้ว่าทุกคนเจอสถานการณ์แบบเดียวกันไม่ใช่มีแค่เราคนเดียวที่เจอ เลยพยายามมองหลายสิ่งไปในแง่ดีมากขึ้น เช่น พอเริ่มเกิดโควิดก็ทำให้เราได้พักผ่อนเยอะขึ้น ได้ดูแลสุขภาพของตัวเองมากขึ้น และยังทำให้เราจัดตารางเวลาของเราเองให้ลงตัวมากขึ้นด้วย เพราะช่วงโควิดทำให้เราได้ใช้เวลาในการเดินทางไปทำงานน้อยลง และหันมาทำงานผ่านช่องทางออนไลน์มากขึ้น”
โอกาส และการหันมาสำรวจตัวเอง
เซเลบบริตี้สาวดีกรีนักธุรกิจยังมองด้วยว่า โจทย์ใหญ่และสำคัญที่สุดคือจะทำอย่างไร ให้เราสามารรถใช้ชีวิตและดำเนินธุรกิจอยู่ต่อไปได้ แม้สถานการณ์โควิด-19 จะยังมีอยู่ “โควิดยังไม่ได้หายไปไหน และจะยังอยู่กับเราต่อไป ในเวลาเดียวกัน เราเองยังต้องวางแผนในการหากิจกรรมและแผนงานธุรกิจต่างๆ เข้ามา”
“ถามว่าเหนื่อยไหม บอกเลยว่าเหนื่อยแน่นอนค่ะ เพราะที่ผ่านมาโควิด-19 ได้ส่งผลต่อธุรกิจของเราค่อนข้างมาก อย่างเรามีหน้าร้านขายไอศกรีมอยู่ในห้างสรรพสินค้า ซึ่งก่อนหน้าที่จะเกิดวิกฤต มีลูกค้ามาที่หน้าร้านเราค่อนข้างมาก แต่พอเจอโควิด-19 เข้าไป ลูกค้าหายหมดเลย โดยเฉพาะตอนที่มีคำสั่งปิดห้าง เรียกว่าต้องหยุดร้านกันไปนานหลายเดือนเลยทีเดียว”
แม้จะต้องเจอกับวิกฤต แต่เธอกลับไม่ท้อแท้แม้แต่น้อย “ส่วนหนึ่งเป็นเพราะได้กำลังใจค่ะ และกำลังใจที่ว่านี่คือทีมงานในธุรกิจของเราเองค่ะ ทั้งทีมงานหน้าร้านและเบื้องหลังการทำงาน ทุกคนยังคงเต็มที่กับการทำงาน” ไม่เพียงแค่นั้น เธอยังเล่าด่วยว่าพนักงานในบริษัทของเธอยังช่วยกันมองหาช่องทางต่างๆ ในการทำให้ธุรกิจขับเคลื่อนได้ต่อไป “ทุกคนพยายามทำงานเพื่อทำให้มียอดขายเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกันยังพยายามมองหาช่องทางการสร้างแบรนด์ และทำให้ลูกค้านึกถึงแบรนด์สินค้าของเราตลอดเวลาค่ะ” เรียกว่าเป็นอึกหนึ่งแรงกำลังใจ ที่ทำให้ผู้หญิงคนนี้เกิดพลังใจในการเดินหน้าทำธุรกิจต่อไป
ปรับตัวสอดรับกับสถานการณ์
ช่วงวิฤตที่เกิดขึ้น ยังเป็นอีกโอกาสสำคัญที่จะทำให้นักธุรกิจสาวคนนี้หันมามองตัวเอง และธุรกิจภายใต้การบริหารของเธอมากขึ้น “เรียกว่าเป็นจังหวะที่ทำให้เราหันมารีวิวตัวของเราเอง ทั้งชีวิตส่วนตัว และการทำงานตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมาว่าเป็นอย่างไร ไม่ใช่แค่นั้น เรายังได้เห็นปัจจัยต่างๆ ที่ส่งผลกระทบต่อธุรกิจของเราด้วย ทำให้เรารู้ว่าจะต้องปรับธุรกิจของเราให้เป็นไปในทิศทางใดต่อไป”
“ยอมรับเลยค่ะว่าต้องปรับตัวเยอะเหมือนกัน โดยเฉพาะธุรกิจที่มีรายละเอียดเยอะ เราพยายามเปรียบเทียบแต่ละธุรกิจที่มีอยู่ในมือ สมมติว่าธุรกิจไหนที่มีการลงแรงและลงทุกนในระดับที่เท่ากัน แต่ถ้าธุรกิจหนึ่งดูแล้วไม่มีการเคลื่อนไหว เราก็จะตัดหรือหยุดไปก่อน แล้วนำแรงจากส่วนนั้นไปลงในธุรกิจที่ยังสามารถเดินหน้าต่อได้”
สร้างแผนธุรกิจในอนาคต
นอกจากนี้การวางแผนธุรกิจในอนาคต ก็เป็นอีกหนึ่งส่วนสำคัญกับการดำเนินธุรกิจนับต่อจากนี้ “วันนี้เรามองดูแล้วว่าโควิด-19 จะไม่ใช่เรื่องผิดปกติอีกต่อไป และเราต้องเดินคู่กันไปให้เป็นเหมือนปัจจัยหนึ่งในการทำธุรกิจ อย่างธุรกิจของเราเป็นธุรกิจด้านอาหาร สิ่งหนึ่งที่ต้องวางแผนอย่างรัดกุมที่สุดก็คือเรื่องความปลอดภัยและความสะอาดของอาหาร แต่ในเวลาเดียวกัน เราก็ต้องคำนึงถึงความสุขที่ลูกค้าจะได้รับจากโปรดักส์ของเราด้วย เช่นการใส่ลูกเล่นและเพิ่มสีสัน รวมถึงความมีชีวิตชีวาให้กับโปรดักส์”
“กระแสการดูแลสุขภาพที่มาพร้อมอหาร ก็เป็นอีกส่วนหนึ่งที่เราตระหนัก วันนี้เราจึงพยายามที่จะเสริมคุณค่าทางด้านโภชนาการเอาไว้ในโปรดักส์ของเรา ควบคู่ไปกับรสชาติความอร่อย โดยที่ลูกค้าไม่รู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น และยังคงอร่อยกับเมนูที่เรานำเสนอเหล่านี้ได้เหมือนเดิม”
นวัตกรรมกับการปรับธุรกิจ
นวัตกรรมด้านอาหาร เป็นอึกหนึ่งแนวทางการพัฒนาธุรกิจอาหารของเธอคนนี้ “Ready-to-Cook” หรืออาหารสำเร็จรูปพร้อมปรุง เป็นอีกหนึ่งแนวคิดการขายช่องทางธุรกิจที่เธอกำลังดำเนินการอยู่ เพราะอาหารประเภทนี้ ลูกค้า (ร้านอาหาร) สามารถนำไปอุ่น หรือปรุงสุกอีกครั้ง ก่อนจัดเสิร์ฟให้สวยงามแล้วบริการลูกค้าได้เลย เซเลบริตี้สาวเล่าว่า แนวคิดนี้จะเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยบริหารจัดการของธุรกิจร้านอาหารหรือคาเฟ่ ซึ่งเธอยืนยันว่าแม้จะเป้นอาหารกึ่งสำเร็จรูป แต่ก็ยังคงรสชาติความอร่อย และคงคุณค่าทางอาหารเหมือนอาหารปรุงสด “เพราะเราใช้ขั้นตอนการปรุงอาหารอย่างพิถีพิถันและปรับรสชาติให้ตรงตามโจทย์ที่ลูกค้าต้องการ ก่อนบรรจุแพ็กเกจ และเข้าสู่กระบวนการช็อกฟรีซด้วยอุณหภูมิติดลบ 20-30 องศาเซลเซียส นาน 1-2 ชั่วโมง แล้วส่งไปตามร้านอาหารและคาเฟ่ที่เป็นลูกค้าของเรา ซึ่งจะช่วยลดขั้นตอนการทำอาหาร และสามารถควบคุมต้นทุนของร้านอาหาร ที่สำคัญยังลดการทิ้งขยะหรือเศษอาหารได้ด้วย”
มุมมองการทำงานและการทำธุรกิจของ “ณิณี-อนุษญา เชาว์วิศิษญ” ไม่ได้หยุดอยู่เพียงเท่านี้ แต่เธอยังมีมุมมองอีกมากมายที่พร้อมจะเปิดเผย เพราะเธอเชื่อว่าธุรกิจอาหารจะมีความยั่งยืน และสร้างความสำเร็จได้ ก็ต้องเข้าใจในธุรกิจนี้อย่างแท้จริง และพร้อมรับการเปลี่ยนแปลงทุกอย่างที่เกิดขึ้น