คุณนัส-พิชฐญาณ์ โอสภเจริญผล ศิลปิน นักออกแบบลายผ้า และเจ้าของแบรนด์ อะเพอชู APERCU ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ไลฟ์สไตล์และของตกแต่งบ้าน เช่น วอลเปเปอร์ สิ่งทอ และเครื่องแต่งกาย ความเป็น ARTIST ทำให้เธอชอบอยู่กับตัวเอง และมีความสุขทุกครั้งที่ได้ปฏิบัติธรรม เธอชื่อว่าธรรมะจำทำให้คนเรามีชีวิตที่ดี คิดดี และใช้ชีวิตในทุกๆ วันได้ง่ายขึ้น
“นัสจบปริญญาตรีที่ Raffles International College สาขา Product Design และจบปริญญาโทด้าน Design Service ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จริงๆ เริ่มต้นทำงานก็คือออกแบบให้กับ Electrolux แล้วก็มีผลงานที่ออกแบบให้กระทรวงพลังงานก็คือเตาชีวมวลที่ใช้พลังงานทดแทน คือสมัยนั้นนัสชอบเรื่องเกี่ยวกับ Global Warming เป็นพิเศษ มีอัลกอร์เป็นไอดอลตั้งแต่ 8 ขวบ ส่วนใหญ่งานออกแบบจะเป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าอย่างเช่นตู้เย็น ตอนทำงานที่นั่นก็สนุกมาก แต่นอกจากทำงานออกแบบเครื่องใช้ไฟฟ้า นัสก็ชอบงานดรอว์อิ้ง ตั้งแต่เด็กก็ส่งผลงานประกวดทุกปีก็ชนะทุกครั้ง ก็เลยเริ่มสนใจงานทางด้านนี้ เลยยื่น Port ไปที่ Disaya ตอนแรกก็ไม่คิดว่าจะได้เพราะคนสมัครเป็นร้อยคน แต่เขารับคนเดียว เรามีงานออกแบบเครื่องใช้ไฟฟ้า ทางแบรนด์ใจดีให้โจทย์มาเสนอใหม่ สุดท้ายทางแบรนด์เลือกเราให้ออกแบบลายผ้า ดีใจมาก ทำงานที่นั่นราวๆ 1 ปี ก็มาทำแบรนด์ของตัวเอง”
“ช่วงนั้นเริ่มมีคนรู้จัก ก็ได้วาดภาพประกอบในนิตยสาร ออกแบบไลน์สติกเกอร์ทำ Line Official ให้กับเจ้าหนึ่งเมื่อเกือบ 10 ปีที่แล้ว ตอนนั้น Creator ยังมีไม่มากนัก นัสทำงานด้านนี้มา 15 ปีแล้ว จริงๆ ทุกวันนี้ก็ยังชอบงานออกแบบเครื่องใช้ไฟฟ้าอยู่นะคะ แต่ช่วงที่ทำงานสมัยนั้นงานมันค่อนข้างมีความซับซ้อน ทีมที่ทำงานร่วมกันเยอะมาก ซึ่งต่างจากสมัยนี้ที่เราออกแบบผ่านทรีดีเองได้ ซึ่งทำงานง่ายมาก”
“ตอนทำงานอยู่ที่ Disaya พอดีตอนนั้นสุนัขที่เลี้ยงไว้ตาย ก็เลยออกมาทำงานการกุศล เอาความสามารถด้านงานศิลปะมาระดมทุนช่วยสุนัข แล้วก็เริ่มทำงานฟรีแลนซ์แทนงานประจำ ช่วงนั้นก็เริ่มรับงานของเซ็นทรัลทำ Display ทำเป็นธีมภายใต้ชื่อศิลปิน “Pichaya Osothcharoenpol” ทุกวันนี้ก็ยังทำอยู่ แล้วก็มีของ Future Park ส่วนใหญ่จะเป็นของเครือเซ็นทรัล จริงๆ ชอบงานที่ทำเพราะมีความท้าทาย แต่มี Process ที่คล้ายกัน โดย 70% จะทำ Research ก่อนเพื่อให้รู้รายละเอียด ส่วนงานดีไซน์จะใช้เวลา 30% ถ้าเรารู้กลุ่มเป้าหมาย รู้ History ก็จะรู้ว่าต้องทำงานอะไร ก็สนุกดีที่ได้ลองทำงานใหม่ๆ ทั้งงานร้านหนังสือ งานออกแบบลายผ้าตอนนี้มี 2 ลายสำหรับคอลเลกชันผู้หญิงและผู้ชาย ที่ได้ออกแบบลายผ้ากับ Jim Thomson ก็สนุกมาก เพราะทางจิม ทอมป์สันเป็นผู้นำในเรื่องผ้าไหม ซึ่งการ Pint งานบนผ้าไหมทำยากมาก แต่งานของที่นี่คือลายชัด สีสดใส ประทับใจมาก อย่างคอลเลกชันนี้นัสออกแบบมาเกือบปี แต่ทางแบรนด์เพิ่งเปิดตัวลาย เพราะใช้กระบวนการผลิตค่อนข้างนาน เพราะต้องพัฒนาผ้าให้สามารถพิมพ์ลายได้สีสันสดใสและยับยาก รู้สึกดีใจว่างานของตัวเองได้ไปอยู่บนนวัตกรรมใหม่ๆ”
“การทำงานฟรีแลนซ์รับจ้างออกแบบงานต่างๆ นอกเหนือจากโจทย์ที่ได้รับในแต่ละครั้งแล้วก็ต้องหา Inspire ให้กับตัวเองด้วย นัสเป็นพวก Introvert ดูไม่ออกใช่ไหมคะ (หัวเราะ) นัสได้แรงบันดาลใจมาจากการเข้าวัด ชอบปฏิบัติธรรม การที่เราได้อยู่กับตัวเอง เข้าใจตัวเองว่าต้องการอะไร มันจะทำให้เราเข้าใจคนอื่นได้ง่ายขึ้นด้วย การที่เรารู้จักเงียบและฟังคนอื่น เราก็จะรู้ถึงความต้องการจริงๆ ของเขาจริงๆ นัสชอบอยู่คนเดียว การเป็น Introvert ก็ไม่ใช่ปัญหา เพราะเราสามารถพบเจอผู้คนได้ ก็เจอเฉพาะแค่วันที่ออกงาน (หัวเราะ) เสร็จงานเราก็กลับบ้านไปนอนกอดหมาที่บ้านได้ นอกจากเป็น Introvert ก็เป็น Dog Lover ด้วย นัสชอบเลี้ยงหมา ก็เลี้ยงมาตลอด ตอนนี้มี 3 ตัว มีชิวาว่า 2 ตัว แล้วก็พุดเดิล 1 ตัว นอกจากเรื่องธรรมะ หมา แล้วก็มีหนังสือที่นัสชอบอ่าน ชีวิตก็จะชอบประมาณนี้”
“ถ้าถามว่าปีนี้อยากทำอะไร ก็คงอยากเน้นการดูแลจิตใจ บางทีเราทำงาน Commercial เยอะๆ ทำให้เราทำงานตามผู้ว่าจ้าง บางทีมันก็ขาดในสิ่งที่เราอยากจะทำ ปีนี้ก็อยากเข้าวัดมากขึ้น ปฏิบัติธรรมมากขึ้น ส่วนใหญ่ก็จะไปวัดทับทิมแดง เป็นวัดป่าสาขาของวัดแพร่ธรรมาราม สายพระอาจารย์กัณหาสุขกาโมที่นั่นสอนนัสหลายเรื่องมาก เพราะนัสไปก่อนเรียนมหาวิทยาลัย รู้สึกมีปัญหามากระทบจิตใจเราครั้งเดียว แต่ความทุกข์คือการที่เราเก็บมันมาคิดวนไปวนมา ที่นี่เขาสอนให้มีสติ ให้เข้าใจในสิ่งที่เข้ามากระทบจิตใจเรา เหมือนมีคนมาตีเราเจ็บแค่ตอนตี แต่ถ้าเราเอามาโกรธแค้น ความเจ็บมันก็จะอยู่กับเรา เราควรรู้จักการปล่อยวาง การรู้จักมีสติ”
“การที่เราได้อยู่กับตัวเอง เข้าใจตัวเองว่าต้องการอะไร มันจะทำให้เราเข้าใจคนอื่นได้ง่ายขึ้นด้วย การที่เรารู้จักเงียบและฟังคนอื่น เราก็จะรู้ถึงความต้องการจริงๆ ของเขา”
“การที่เป็นศิลปินก็ไม่ได้แปลว่าต้อง Sensitive โดยเฉพาะกับคำวิพากษ์วิจารณ์ ทำดีแค่ไหนมันก็มีคนตำหนิ ก็จะไม่ค่อยเก็บมาใส่ใจมากนัก ถ้าเรารู้จักตัวเอง รู้ว่าเรามีอะไร ดีอย่างไร หรือเรามีข้อเสียอะไร เราก็จะไม่เสียใจการที่เรามีธรรมะทำให้ใช้ชีวิตง่ายขึ้น เพราะเราจะมองโลกตามความเป็นจริง เราจะไม่มองอะไรดีเกินไปหรือร้ายเกินไป เวลาเจออะไรมากระทบเราก็รับมือได้ดีกว่า”
“สำหรับนัสความสุขเป็นเรื่องง่ายมาก แต่ความสุขแท้จริงก็คือตอนที่จิตเราว่าง เราไม่โฟกัสกับอะไรเลย ไม่สุข ไม่ทุกข์ ไม่ได้รู้สึกอะไรเลย จิตนิ่งๆ เวลาเรามีสมาธิ นั่งวาดรูปไปเรื่อยๆ ไม่ได้สนใจอะไร แค่โฟกัสกับลายเส้นที่วาด บางครั้งเราทำอะไรที่เป็นกิจวัตร อย่างเช่นแปรงฟัน เราก็สามารถทำได้โดยอัตโนมัติ บางทีใจลอยก็จะคิดเรื่องอื่น แต่ถ้าเรากำหนดจิตเราก็จะมีสติ ถ้าเรามีสติก็จะมีความสุข เพราะเรารู้ว่าเราจะทำอะไร ถึงปฏิบัติธรรมแต่เราก็ยังมีความสุดโต่ง เวลาทำงานก็ไม่หลับไม่นอน ชีวิตก็ยังไม่สมดุล เวลามีอะไรมากระทบก็ยังปรี๊ดอยู่ค่ะบางครั้ง (หัวเราะ) ความเป็นมนุษย์ก็ยังมีอยู่บ้าง ก็พยายามฝึกต่อไป ส่วนเป้าหมายในชีวิตมองว่าถ้าธุรกิจอยู่ตัวแล้วก็อยากจะทำธุรกิจเพื่อสังคมในอนาคตค่ะ”