เมิร์ซ เอสเธติกส์ ประเทศไทย ฉลองครบปีที่ 9 สู่ความเป็นผู้นำธุรกิจหัตถการเสริมความงาม เดินหน้าสร้างความมั่นใจคนไทยอย่างยั่งยืน

0
351

เนื่องในโอกาสก้าวเข้าสู่ปีที่ 9 เมิร์ซ เอสเธติกส์ ประเทศไทย ​มุ่งมั่นขับเคลื่อนแนวทางการสื่อสารเพื่อเสริมสร้างความมั่นใจให้กับคนไทยอย่างไม่หยุดนิ่ง ในปี 2567 นี้ บริษัทฯ ก็ได้มาพร้อมกับแผนกลยุทธ์ธุรกิจ ภายใต้แนวคิด พลังแห่งความมั่นใจ (The Power of Confidence) วางแผนเดินหน้าเป็นผู้นำสร้างความมั่นใจให้กับคู่ค้าและผู้บริโภคอย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกันได้จัดทำดัชนีชี้วัดความมั่นใจในตนเองของคนไทย (Self-Confidence Index) ครั้งแรกในประเทศไทย เพื่อนำทางองค์กรเดินหน้าสู่ Sustainability Model สร้างรากฐานความมั่นใจของคนไทยอย่างยั่งยืน 

สำหรับแผนธุรกิจประจำปีที่ 9 ที่ตั้งเป้าไปที่ผลักดันสร้างความมั่นใจในสังคมไทย เมิร์ซ เอสเธติกส์ ประเทศไทย ได้ให้ความสำคัญอยู่ 3 ประเด็นหลัก ได้แก่

1. Build Business with Confidence ก้าวสู่ความเป็นผู้นำธุรกิจหัตถการเสริมความงามอย่างมั่นใจ 

ในปี 2566 ที่ผ่านมา เมิร์ซ เอสเธติกส์ ประเทศไทย ยังคงสร้างความเชื่อมั่นให้กับคู่ค้าและผู้บริโภคมาอย่างต่อเนื่อง ตอกย้ำความสำเร็จในการเป็นผู้นำธุรกิจเวชศาสตร์ความงาม ด้วยยอดขายทะลุเป้า 2,000 ล้านบาท หรือเติบโตอย่างโดดเด่นเหนือกว่าทิศทางตลาดแบบ Double Digit ที่ 30% และมีการเติบโตของยอดขายนวัตกรรมชูโรงอย่าง เครื่องอัลเทอร่ามากกว่า 600 เครื่อง ใน 46 จังหวัดทั่วประเทศไทย อีกทั้งยังเป็นผู้นำเทรนด์ความงามแบบ ‘skin quality’ ด้วยการเปิดตัวฟิลเลอร์งานผิวเนื้อละเอียด พร้อมเสริมทัพด้วยนวัตกรรมตัวล่าสุด ได้แก่ สารฉีดกระตุ้นการสร้างผิวใหม่ Regenerative Biostimulator ทั้งนี้ ล้วนเป็นความสำเร็จที่สอดรับกับทิศทางของธุรกิจการแพทย์และความงามที่ยังคงมีแนวโน้มการเติบโตที่สดใสสะท้อนผ่านตัวเลขการเติบโตเฉลี่ย 16.6% ต่อปีจนถึงปี 2570

ขณะเดียวกันเมิร์ซ เอสเธติกส์ ประเทศไทย ยังคงส่งเสริมการเติบโตและสร้างความเชื่อมั่นให้กับคู่ค้าอย่างสม่ำเสมอ บนมาตรฐานความปลอดภัยและคุณภาพของสินค้าและบริการ โดยตลอดทั้งปีที่ผ่านมา บริษัทฯ มุ่งมั่นให้ความสำคัญกับการส่งเสริมองค์ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ และมีส่วนร่วมในงานวิจัยและการพัฒนาเพื่อต่อยอดนวัตกรรมเสริมความงาม และมีบทบาทในอีเวนต์สำคัญ อาทิ เป็นเจ้าภาพจัดงานเสวนา Science Behind Confidence” โดยมีจุดประสงค์เพื่อสร้างการตระหนักรู้ในเรื่องความงามที่ควรมาพร้อมกับความปลอดภัย และการเข้าร่วมเป็นพาร์ทเนอร์คนสำคัญในการจัดงาน DASIL World Congress ครั้งที่ 11 เปิดเวทีแลกเปลี่ยนความรู้ ข้อมูล และเทคนิคการรักษาจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจากทั่วทุกมุมโลก เพื่อนำมาสู่เทรนด์ความงามยุคใหม่ที่ประสิทธิภาพสูงและปลอดภัยสำหรับทุกคน นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังดำเนินกลยุทธ์เน้นไปที่การอัปเดตเทรนด์ความรู้และนวัตกรรมเสริมความงามยุคใหม่ผ่านกิจกรรมต่างๆ ร่วมกับคลินิกเสริมความงามชั้นนำทั่วประเทศ ได้แก่

  • การจัด In-Clinic Clinical Training เพื่อเสริมทักษะแก่แพทย์ผู้ทำหัตถการความงามมากกว่า 500 เซสชั่น นอกจากนี้ ในปีที่ผ่านมา ยังจัดเวิร์กชอปและงานประชุมทางวิชาการ (Symposium) 30 งาน โดยมีแพทย์ความงามเข้าร่วมกว่า 2,000 คน 
  • การจัด Commercial Training อัปสกิลส่งเสริมการขายให้กับบุคลากรและพนักงานในคลินิกเสริมความงามกว่า 30 เซสชั่น รวม 800 คน

ไม่เพียงเท่านี้ เมิร์ซ เอสเธติกส์ ประเทศไทย ยังได้หยิบจับศาสตร์ด้านความงามสื่อสารต่อไปยังผู้บริโภคในรูปแบบที่แปลกใหม่และย่อยง่าย เพื่อให้ผู้บริโภคได้ความรู้ เข้าถึงการใช้งานนวัตกรรมเสริมความงามได้อย่างมั่นใจและปลอดภัยยิ่งขึ้น โดยจัดงานระดับ Expo ครั้งแรกในชื่อว่า Merz Aesthetic Expo: Haus of Confidence ดึงดูดผู้บริโภคด้วยกิจกรรมรูปแบบ Edutainment และประสบความสำเร็จด้วยยอดผู้เข้าชมสูงถึง 6,600 คนตลอด 5 วัน โดย Merz Aesthetic Expo จะกลับมาสร้างปรากฏการณ์ยิ่งใหญ่อีกครั้งภายใน 2 ปีข้างหน้า


2. Blend Sustainable Work with Confidence ก้าวสู่องค์กรใส่ใจโลกกับโครงการสร้างความยั่งยืน

นอกจากการสร้างความเชื่อมั่นแก่คู่ค้าและผู้บริโภค ทิศทางสำหรับองค์กรในปี 2567 เมิร์ซ เอสเธติกส์ ประเทศไทยมุ่งสร้างองค์กรที่ใส่ใจในความยั่งยืนไปสู่ชุมชนและสังคม ริเริ่มที่จะพัฒนาแนวคิดและโครงการด้านการรักษาสิ่งแวดล้อมร่วมกับคู่ค้าคลินิกและคนในองค์กรไปพร้อมๆ กัน เริ่มต้นจากการผลักดันโครงการจัดการขยะและการรีไซเคิลบรรจุภัณฑ์เสริมความงามและอุปกรณ์อย่างถูกวิธี ภายใต้ชื่อว่า “Merz Aesthetics Zero Waste” ประกอบด้วย 2 โครงการย่อย ดังนี้

  • โครงกาMerz Aesthetics Set Zero Office Waste เพิ่มประสิทธิภาพของการจัดการขยะจากการแยกขยะที่ต้นทาง โดยบริษัทฯ ให้ความรู้ความเข้าใจพนักงานในองค์กรถึงประเภทของขยะที่ถูกต้อง ส่งเสริมและปลูกฝังพฤติกรรมและความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม ส่งผลให้เกิดการลดปริมาณขยะ แยกขยะอย่างถูกวิธี และลดการสิ้นเปลืองพลังงานและทรัพยากรที่ใช้ในการกำจัดขยะได้ในขั้นตอนถัดไป
  • โครงการ Merz Aesthetics Set Zero Aesthetics Waste ไม่เพียงแต่สร้างบรรจุภัณฑ์ความงามที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม บริษัทฯ ยังคงมุ่งมั่นที่จะลดปริมาณขยะพลาสติกที่เกิดจากบรรจุภัณฑ์ความงามด้วยวิธีรีไซเคิล นำอุปกรณ์มาทำประโยชน์ใหม่อีกครั้ง ซึ่งทางเมิร์ซ​ เอสเธติกส์ ประเทศไทย จะร่วมมือกับพาร์ทเนอร์ชั้นนำในการแยกขยะ และสร้างสิ่งใหม่โดยใช้ขยะจากผลิตภัณฑ์ความงามได้แก่ บริษัท รีไซเคิลเดย์ จำกัด และแบรนด์ควอลี่ โดยจะเปิดตัวในเร็วๆ นี้

3. Bring Self-Confidence Insight to Life เผยดัชนีชี้วัดความมั่นใจในตนเองของคนไทย ต่อยอดพันธกิจองค์กร

ในปีนี้ เมิร์ซ เอสเธติกส์ ประเทศไทย ประกาศจัดทำดัชนีชี้วัดความมั่นใจในตนเองของคนไทย  “Self-Confidence Index” เป็นครั้งแรกในประเทศไทย  เพื่อเจาะลึกอินไซด์ของผู้บริโภคในด้านความมั่นใจและต่อยอดสู่แคมเปญการสื่อสารที่ยั่งยืน ซึ่งได้ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.วัชราภรณ์ บุญญศิริวัฒน์ อาจารย์ประจำแขนงวิชาจิตวิทยาสังคม คณะจิตวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มาเป็นที่ปรึกษาดูแลการวิจัยในภาพรวม โดยจากการสำรวจผู้บริโภคที่เป็นกลุ่มประชาชนทั่วไป 1,000 ราย เผยว่าคนไทยมีระดับความมั่นใจในตนเองเฉลี่ยอยู่ที่ 84% และทุกๆ เจนเนอเรชันมีระดับความมั่นใจในตนเองที่แตกต่างกันออกไปดังนี้

  • Gen X (Happiness) เป็นช่วงวัยที่เกิดความมั่นคงทั้งทางอาชีพ ประสบการณ์ และอารมณ์ จึงมีความมั่นใจในตนเองสูงสุด และมีพฤติกรรมการดูแลตัวเองตามช่วงอายุ ใช้ชีวิตแบบปล่อยวาง แต่จะรู้สึกเติมเต็มมากยิ่งขึ้น เมื่อรักษารูปร่างและหน้าตาให้มีความอ่อนเยาว์กว่าวัย   
  • Gen Y (Self-Love) เติบโตในช่วงเปลี่ยนผ่านของเทคโนโลยี และได้ผ่านประสบการณ์ในสังคมมาระยะหนึ่งแล้ว เริ่มค้นพบความต้องการและเป้าหมายที่แท้จริงของตนเองว่าอยากดูดีในรูปแบบไหน ทำให้ Gen Y เน้นการดูแลตัวเองแบบ “Prejuvenation” เพื่อคงความอ่อนเยาว์
  • Gen Z (Ideal Self) เป็นช่วงวัยที่ได้รับอิทธิพลจากคนดังในโลกโซเชียลมีเดีย จึงมีความตื่นตัวอย่างมากกับความรู้เกี่ยวกับความงามและการดูแลผิวด้วยตนเอง ทำให้มีคะแนนความมั่นใจด้านหน้าตาและรูปร่างน้อยกว่าเจนอื่นๆ

ทั้งนี้ จากการศึกษาพบว่า ปัจจัยที่ส่งผลต่อความมั่นใจมีทั้งหมด 6 ด้าน ได้แก่  1. ด้านทัศนคติ (attitude & mindset) 2. ด้านสังคมรอบตัว (social) 3. ด้านการงานและการเรียน (work & study) 4. ด้านสุขภาพ (health) 5. ด้านรูปลักษณ์ภายนอก (appearance) 6. ด้านการเงิน (income) โดยปัจจัยที่ส่งผลต่อความมั่นใจในตนเองมากที่สุด คือ ด้านรูปลักษณ์ภายนอก (appearance) ในขณะที่ระดับคะแนนความมั่นใจในด้านรูปลักษณ์ภายนอกกลับต่ำกว่าค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 82% อย่างไรก็ตาม คนไทยส่วนใหญ่ต้องการที่จะเป็นตัวของตัวเอง แต่ยังอยากเสริมเติมแต่งเพิ่มความดูดีขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ ซึ่งสอดคล้องกับพฤติกรรมโซเชียลมีเดียของคนไทย ที่นิยมใช้แอปพลิเคชันในการปรับแต่งรูปให้ออกมา “เป็นตัวเองที่ดูดีขึ้น” เพื่อเสริมความมั่นใจในการใช้ชีวิต

ช่องว่างของระดับคะแนนความมั่นใจจึงเปิดโอกาสให้ บริษัทฯ เดินหน้าผลักดันธุรกิจหัตถการความงาม โดยเชื่อว่าการเข้ารับบริการเสริมความงามจะเพิ่มความมั่นใจให้คนไทยอย่างยั่งยืน สะท้อนจากอินไซต์ของผลสำรวจที่พบว่า คนไทยมีคะแนนความมั่นใจในตนเองเฉลี่ยสูงถึง 91% ภายหลังจากเข้ารับบริการหัตถการความงาม  และคนไทยส่วนใหญ่ยอมรับว่า การทำหัตถการความงาม เป็นหนึ่งในทางเลือกที่สำคัญ สำหรับเสริมความมั่นใจให้ตัวเองได้ เพราะเป็นการแก้ไขปัญหาและบรรเทาความกังวลต่างๆ ที่มีต่อผิวพรรณและรูปร่างตนเองได้ในเวลาอันสั้น ช่วยให้ตนเองโฟกัสชีวิตตัวเองในด้านอื่นๆ ได้อย่างสบายใจ

ทั้งนี้ Self-Confidence Index จะเป็นจุดเริ่มต้นสำหรับเมิร์ซ​ในการเจาะลึกพฤติกรรมของผู้บริโภคในไทยได้อย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้น นำมาสู่แคมเปญการสื่อสารที่จะบูสต์อัปความมั่นใจคนไทยไปอีกหนึ่งขั้นในอนาคต ทั้ง 3 กลยุทธ์ธุรกิจในปี 2567 นี้ล้วนเป็นการตอกย้ำจุดยืนของเมิร์ซ เอสเธติกส์ ประเทศไทยในการก้าวสู่การเป็นผู้นำธุรกิจหัตถการความงามอันดับ 1 อย่างมั่นใจ โดยมีความยั่งยืนเป็นหัวใจหลักในการขับเคลื่อนธุรกิจ และให้ความสำคัญกับดัชนีชี้วัดความมั่นใจในตนเองของคนไทยเสมือนเป็นเครื่องมือหลักที่จะนำทางแคมเปญการสื่อสารต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตข้างหน้า

Facebook Comments

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่

This site uses Akismet to reduce spam. Learn how your comment data is processed.