กลับมาสร้างความเซอร์ไพรส์ให้กับแฟนๆ อีกครั้งสำหรับ “ฟิล์ม-ธนภัทร กาวิละ” พระเอกเจ้าบทบาทที่คราวนี้ได้ขอท้าทายขีดความสามารถตัวเองกับการเข้ามาแสดงละครเวทีครั้งแรก “เรื่องเล่าคืนเฝ้าผี” ละครเวทีรีเมกในรอบ 13 ปี ที่เหมือนมาเติบเต็มความฝันด้านการแสดง พร้อมเติบโตไปกับการทำงานในวงการบันเทิงแบบไร้ขีดจำกัด
เพราะการแสดงละครเวทีเป็นหนึ่งในความฝัน “ต้องบอกก่อนว่าการแสดงละครเวทีคือหนึ่งในความฝันที่ผมอยากจะแสดงมาตลอด แล้วการที่ได้เข้ามาเป็นหนึ่งในนักแสดงของเรื่องเล่าคืนเฝ้าผีเวอร์ชัน 2025 มีนักแสดงเก่งๆ ที่ร่วมแสดงเยอะมาก ส่วนตัวผมเองเคยทำงานกับพี่นุ่น-ศิรพันธ์เมื่อ 5 ปีที่แล้ว และผมก็รู้สึกดีใจมากที่ได้ทำงานกับพี่นุ่นใน ณ วันนั้น พอมาวันนี้เลยรู้สึกว่าเป็นโอกาสที่ดีสำหรับผมในวันที่เราได้เติบโตมาแล้ว แล้วได้กลับมาทำงานร่วมกับพี่นุ่นอีกครั้ง ผมมองว่ามันจะเป็นประโยชน์ต่อเรา เป็นความสนุกกับเรา และคิดว่าน่าจะเป็นอะไรที่เซอร์ไพรส์คนดูได้มากขึ้น เมื่อผมเติบโตขึ้นแล้วได้กลับมาเจอกับพี่นุ่นอีกครั้งหนึ่ง”

กลับมาร่วมงานกับนุ่น-ศิรพันธ์ อีกครั้งในรอบ 5 ปี “ดีใจมากๆ เพราะในวันนั้นที่ผมได้แสดงกับพี่นุ่น ผมได้แสดงเป็นลูกพี่นุ่น ในตอนนั้นเรายังเป็นเด็กน้อยที่ยังไม่เข้าใจการแสดงเลย วันนี้ผมรู้สึกว่าตัวเองได้เติบโตขึ้นแล้ว ผมรู้สึกว่ามันมีความสนุกกว่าครั้งที่แล้วมาก ไม่รู้จะสรรหาคำไหนมาอธิบาย เป็นการทำงานที่มีแต่ความสนุก พี่นุ่นใส่เต็มร้อยทุกครั้งที่ซ้อมทุกรอบ สนุกมากที่เราได้ทำงานกับคนที่เก่งขนาดนี้”
เนื่องจากเรื่องเล่าคืนเฝ้าผีเป็นละครเวทีเรื่องแรก รู้สึกกดดันไหม? “ไม่รู้เรียกว่ากดดันหรือเปล่า แต่สิ่งหนึ่งที่ผมกลัวและกลัวมาตลอด ผมกลัวว่าผมจะจำบทไม่ได้ เพราะละครทีวีเราสามารถเล่นได้หลายเทกแล้วก็จะเล่นเป็นซีนๆ เล่นไม่ดี จำบทไม่ได้หรือพูดติด เราสามารถถ่ายใหม่ได้ แต่ละครเวทีมันไม่ใช่ คุณมีโอกาสแค่เทกเดียวเท่านั้น เทกเดียวคือเทกเดียว เมื่อม่านการแสดงเปิดขึ้น อะไรจะเกิดขึ้นคุณต้องไปต่อให้ได้ นี่คือสิ่งที่ผมกลัวมากที่สุด แต่พอผมได้ซ้อมจริงๆ ผมถึงเข้าใจนักแสดงหลายๆ คนที่ได้เล่นละครเวที ว่าพวกเขาจำบทกันได้ยังไง วันนี้ผมเข้าใจแล้วว่าทำไมบทที่เยอะประมาณ 50 – 60 หน้า เพราะเราซ้อมบทที่ถืออยู่ในมือนี้ตั้งแต่เช้ายันดึกในทุกๆ วัน เราวนลูปซ้อมกันอยู่แค่นี้เลย ซ้อมซ้ำๆ ซ้ำๆ จนมันกลืนทุกอย่างเข้าไปอยู่ในจิตใต้สำนึกของเรา”

จากพระเอกละครทีวีสู่พระเอกละครเวที “ผมไม่เคยมองเรื่องนี้เลย ผมมองแค่ว่ามันคือการแสดงเหมือนกัน แอ็กติ้งเหมือนกัน ผมเลยไม่ได้รู้สึกถึงความแตกต่างที่พูดถึง แต่สิ่งเดียวที่ผมขอย้อนกลับไปเมื่อคำถามที่แล้วที่ตอบไปว่า โอกาสสำหรับละครเวทีมีแค่เทกเดียว นี่คือสิ่งที่ผมต้องก้าวข้ามผ่านไปให้ได้ ตรงนี้คือสิ่งที่ผมกังวลมากที่สุด แต่ผมรู้สึกว่าผมมีความมั่นใจมากขึ้นเมื่อผมได้ซ้อม”
“สำหรับผมมองว่า เสน่ห์ของการแสดงที่รู้สึกได้เลยอย่างแรกที่เหมือนกันคือการแสดงเป็นการเบสจากความรู้สึกของตัวละครที่อยู่ข้างในของคนแสดง แต่เสน่ห์ของละครเวทีคือตัวละครจะตายแล้วเกิดใหม่ในทุกๆ รอบ แปลว่าสิ่งที่ตัวละครจะประสบพบเจอในแต่ละชีวิตของเขาที่เกิดขึ้นในทุกวันจะไม่เหมือนเดิม ไม่ว่าจะเป็นสิ่งที่มันเกิดขึ้น ขณะที่ตัวเราแสดงหรือสิ่งที่ผู้แสดงถ่ายทอดมา รวมถึงรีแอ็กชันจากคนดู นี่คือเสน่ห์ที่ผมรู้สึกว่ามันแตกต่างจากละครทีวี เพราะละครทีวีคนดูต่อให้เขาจะกรี๊ด จะฟิน จะกลัวแค่ไหนเราก็ไม่ได้รับรู้ถึงความรู้สึกนั้น แต่ละครเวทีเมื่อคนดูเขามีรีแอ็กชันแล้วเราได้เห็น ได้สัมผัส และได้ยิน ถ้าเขากลัวไปพร้อมกับเราจะยิ่งทำให้ความรู้สึกของตัวละครยิ่งมากขึ้นๆ”

การแสดงทำให้เราเติบโต “การที่ผมได้เข้ามาแสดงละครเวทีในครั้งนี้ ผมมองว่าตัวผมน่าจะได้เติบโตไปกับการแสดง กับทัศนคติ กับมายด์เซตต่างๆ ของผมในการทำงานในสายบันเทิง ผมว่าเราน่าจะโตขึ้น แล้วผมก็เข้าใจแล้วว่า ทำไมทุกคนถึงพูดแบบนี้ ถามว่าแล้วจะเติบโตไปยังไง หนึ่งเลยจะเป็นสิ่งย้ำเตือนผมเสมอในเรื่องของการทำงานร่วมกันเป็นทีม สองคือสอนให้ผมเชื่อใจเพื่อร่วมงานมากขึ้น สามคือพอเรามีทีมเวิร์กที่ดี แล้วมันสอนให้ผมรู้ว่าเราพร้อมจะทิ้งตัวเพื่องานนี้ เพราะถ้าผมมาเล่นละครเวทีเปล่าๆ โดยที่ผมไม่มีพร็อป ไม่มีซาวนด์เอฟเฟกต์ ไม่มีทีมแสงสี ไม่มีพาร์ตเนอร์ที่เก่งแบบนี้และเชื่อใจเราแบบนี้ ผมว่าละครเวทีของเราคงออกมาได้ไม่สมบูรณ์แบบเท่าเวอร์ชันนี้แน่นอน”