ท่ามกลางสถานการณ์การชะลอตัวด้านเศรษฐกิจ เชื่อว่าบางท่านอาจจะกำลังประสบกับปัญหาสภาพคล่องทางการเงิน หากจะปล่อยให้ธุรกิจที่ทำมาลัมลงต่อหน้า ก็คงจะรู้สึกลำบากใจแน่นอน จะดีกว่าหรือไม่หากมีใครสักคนยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ และพร้อมหาทางออกทางการเงินให้
บริษัท สมาร์ทฟินน์ โซลูชั่นส์ จำกัด โดย ดร.ปริสุทธิ์ รัตนมหาวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และ ดร.ปฏิมากร ใจอ่อน ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ เป็นหนึ่งในธุรกิจที่มาตอบโจทย์และช่วยแก้ไขปัญหาการขาดสภาพคล่องทางการเงินได้อย่างลงตัว “สมาร์ทฟินน์ เป็นแพลตฟอร์มที่มาเชื่อมต่อผู้ขาดสภาพคล่องทางการเงินและนักลงทุน หรือเรียกง่ายๆ ว่าเป็นการจับคู่ (Matching) คนสองฝั่งให้มาเจอกัน” ดร.ปริสุทธิ์ เล่าถึงรูปแบบของธุรกิจสมาร์ทฟินน์
แพลตฟอร์ม สื่อกลาง
“แพลตฟอร์มของเราเป็นเหมือนสื่อกลาง หรือเรียกง่าย ๆ ว่าแพลตฟอร์มขายฝากสำหรับผู้ขาดสภาพคล่องทางการเงินได้พบกับนักลงทุน ซึ่งสิ่งสำคัญที่ผู้ขาดสภาพคล่องทางการเงินต้องมีเพื่อร้องขอเงินทุนได้คือ หลักทรัพย์ที่เป็นโฉนดที่ดินหรือโฉนดอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ เช่น บ้านและคอนโดมิเนียม เป็นต้น เพื่อมาใช้เป็นหลักประกันให้กับนักลงทุนที่มีความประสงค์จะช่วยเหลือ” ซีอีโอ สมาร์ทฟินน์ เล่าด้วยว่า แพลตฟอร์มในธุรกิจนี้ไม่เพียงแค่การช่วยจับคู่ได้อย่างตรงจุดและตรงประเด็นอย่างเดียว ทว่ายังมีข้อดีอีกมากมายตามมา
“สิ่งแรกเลย คือ ผู้เข้ามาร้องขอความช่วยเหลือก็จะได้เงินทุนไปเสริมสภาพคล่องให้กับธุรกิจของตัวเอง ขณะเดียวกันก็ยังได้จ่ายอัตราดอกเบี้ยที่ไม่สูงเหมือนการไปกู้เงินนอกระบบ ซึ่งแพลตฟอร์มของเราเป็นธุรกิจขายฝากที่มีการกำหนดอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ 0.75% ต่อเดือน หรือประมาณ 9% ต่อปี ซึ่งเรียกว่าเป็นอัตราดอกเบี้ยที่ใกล้เคียงกับอัตราดอกเบี้ยของธนาคารมากที่สุด” ดร.ปริสุทธิ์ อธิบายต่อว่าดอกเบี้ยในส่วนนี้ก็จะถูกชำระให้กับทางนักลงทุน จนกว่าอีกฝ่ายจะรวบรวมเงินมาไถ่ถอนได้ตามสัญญาที่ตกลงกัน
อัตราดอกเบี้ยใกล้เคียงกับธนาคาร
นั่นอาจเป็นข้อดีของทั้งสองฝ่ายที่จะได้รับ โดยธุรกิจจะอยู่ตรงกลางระหว่างคนที่ขาดสภาพคล่องทางการเงินและนักลงทุน “จะว่าแล้วหากคนที่ขาดสภาพคล่องไม่ติดเรื่องเครดิตบูโร เขาก็มีโอกาสเข้าสถาบันการเงิน หรือธนาคารได้ง่ายอยู่แล้ว แต่สำหรับหลายๆ ครอบครัวเข้าไม่ถึงสถาบันการเงิน เพียงเพราะเครดิตที่ตัวเองทำมาเกิดปัญหา หรือสะดุดระหว่างที่ทำธุรกิจ แต่ยังคงต้องใช้เงินเพื่อประคองธุรกิจให้เดินหน้าต่อไป ทำให้พวกเขาเหล่านี้ต้องหันหน้าไปพึ่งนายทุนนอกระบบ และถูกคิดอัตราดอกเบี้ยแพงๆ” ดร.ปริสุทธิ์ บอกด้วยว่า สมาร์ทฟินน์ จึงเป็นเสมือนผู้ที่เข้ามาช่วยเติมเต็มช่องว่างเพื่อให้คนที่ขาดสภาพคล่องได้มาพักอยู่กับสมาร์ทฟินน์ชั่วคราว ก่อนที่จะมีโอกาสเข้าถึงสถาบันการเงินต่อไปในอนาคต
“เราเดินทางอยู่ในธุรกิจนี้มาเป็นปีที่ 6 แล้ว และได้มีโอกาสช่วยเหลือคนไปไม่น้อย หากนับรวมเป็นมูลค่าทรัพย์ก็น่าจะอยู่ประมาณ 6,000 ล้านบาท”
6 ปี กับความท้าทาย
“เราเดินทางอยู่ในธุรกิจนี้มาเป็นปีที่ 6 แล้ว และได้มีโอกาสช่วยเหลือคนไปไม่น้อย หากนับรวมเป็นมูลค่าทรัพย์ก็น่าจะอยู่ที่ประมาณ 6,000 ล้านบาท ซึ่งในระหว่างการทำธุรกิจเราก็เจอกับเรื่องท้าทายหลายๆ เรื่อง ทำให้เรามีความเข้าใจทั้งคนที่เข้ามาร้องขอความช่วยเหลือและทางฝั่งนักลงทุนเป็นอย่างดี ทำให้วันนี้เราได้พัฒนาแพลตฟอร์มของเราให้มีมาตรฐานและมีความยุติธรวมที่สุด ที่สามารถตรวจสอบทุกอย่างได้หมด เพราะเราเองก็ตั้งใจที่อยากจะยกระดับธุรกิจขายฝากให้มีมาตรฐานและถูกต้องตามกฎหมายทุกประการ เพื่อทำให้เกิดความเชื่อมั่น และเสริมความมั่นใจของทั้งฝั่งนักลงทุนและทางผู้ร้องขอความช่วยเหลือทางการเงินอย่างดีที่สุด”
อย่างไรก็ตาม สำหรับภาพวาดของ “สมาร์ทฟินน์” ในอนาคตที่ทั้งดร.ปริสุทธิ์ รัตนมหาวงศ์ ซีอีโอ สมาร์ทฟินน์ และ ดร.ปฏิมากร ใจอ่อน ซีโอโอ สมาร์ทฟินน์ วาดไว้คือ จะยังคงเป็นธุรกิจที่ Matching หรือจับคู่การให้ความช่วยเหลือในลักษณะนี้ต่อไป “เราเติบโตมาจากธุรกิจขายฝากตั้งแต่เริ่มต้น แต่หากถามถึงอนาคต เราก็กำลังมีแผนที่จะปูทางไปเรื่องอื่นๆ ต่อไป แต่ทั้งนี้ เราก็จะยังคงเน้นไปที่เรื่องของการ Matching หรือจับคู่ความช่วยเหลือในลักษณะนี้ แต่อาจจะไม่ได้มุ่งเน้นไปที่เรื่อง อสังหาริมทรัพย์เพียงอย่างเดียว แต่เราอาจจะเพิ่มเติมในเรื่องของทรัพย์สินอื่นๆ ที่เป็นหลักทรัพย์ หรือมีทะเบียนที่ชัดเจนสำหรับการใช้เป็นหลักฐานในการกู้ยืมเงิน เพราะเราเชื่อว่าแพลตฟอร์มของเรายังมีศักยภาพในการดำเนินธุรกิจอื่นๆ ได้อีกมาก”