อีสท์ วอเตอร์ ย้ำชัด ปี 2566 เดินหน้าสร้างความมั่นคงด้านน้ำภาคตะวันออกต่อเนื่อง เพิ่มศักยภาพท่อส่งน้ำรองรับความต้องการน้ำที่เพิ่มขึ้นในพื้นที่อีอีซี

0
387

“อีสท์ วอเตอร์” มุ่งมั่นสร้างความมั่นคงด้านน้ำอย่างต่อเนื่อง ปี 2566 ย้ำชัดความเป็นผู้นำในการสร้างความมั่นคงของการจัดการและพัฒนาทรัพยากรน้ำของประเทศด้วยสมาร์ทเทคโนโลยี เดินหน้าเพิ่มศักยภาพโครงข่ายท่อส่งน้ำขนาดใหญ่ หรือ Water Grid ที่สมบูรณ์ที่สุด รองรับการใช้น้ำที่เพิ่มขึ้นของลูกค้า 

นายเชิดชาย ปิติวัชรากุล กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท จัดการและพัฒนาทรัพยากรน้ำภาคตะวันออก จำกัด (มหาชน) หรืออีสท์ วอเตอร์ เปิดเผยว่า อีสท์ วอเตอร์ เดินหน้าสร้างความมั่นคงด้านน้ำในพื้นที่ภาคตะวันออกอย่างเต็มที่ ด้วยการก่อสร้างระบบโครงข่ายท่อส่งน้ำหนองปลาไหล-หนองค้อ-แหลมฉบัง เพิ่มเติมอีกประมาณ 120 กิโลเมตร มูลค่าโครงการ 4,200 ล้านบาท ซึ่งการลงทุนวางท่อส่งน้ำสายหลักในครั้งนี้ สามารถรองรับความต้องการของผู้ใช้น้ำในพื้นที่ภาคตะวันออกในอีก 20 ปีข้างหน้า เพื่อเพิ่มศักยภาพโครงข่ายท่อส่งน้ำ เกิดเป็นโครงข่ายท่อส่งน้ำขนาดใหญ่ หรือ Water Grid ที่สมบูรณ์มากขึ้น โดยเชื่อมโยงแหล่งน้ำสำคัญในภาคตะวันออกเกือบทั้งหมด

อีสท์ วอเตอร์ มีแผนเพิ่มศักยภาพแหล่งน้ำต้นทุน ทั้งระยะสั้น  ระยะกลาง และระยะยาว เพื่อสร้างเสถียรภาพของแหล่งน้ำดิบ  อันจะเป็นการสร้างความมั่นใจให้แก่ผู้ใช้น้ำในระยะเวลา 20 ปีข้างหน้า เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน และไม่ส่งผลกระทบใดๆ ต่อผู้ใช้น้ำ อีสท์ วอเตอร์ พัฒนา และยกระดับการให้บริการที่ตอบสนองความต้องการของผู้ใช้น้ำให้เหมาะสมกับความต้องการของผู้ใช้น้ำแต่ละราย ให้บริการธุรกิจน้ำครบวงจรให้แก่กลุ่มนิคมอุตสาหกรรมต่างๆ หน่วยงานภาครัฐ และเอกชน ทั้งใน และนอกพื้นที่ภาคตะวันออก มีรูปแบบการให้บริการน้ำครบวงจร ได้แก่ น้ำดิบ น้ำประปา น้ำอุตสาหกรรม การบำบัดน้ำเสีย และการนำน้ำกลับมาใช้ใหม่ เน้นความต้องการของผู้ใช้น้ำเป็นหลัก เพื่อตอบโจทย์ทุกความต้องการของผู้ใช้น้ำอย่างมีประสิทธิภาพ

ปัจจุบันอีสท์ วอเตอร์ ได้มีการนำเทคโนโลยีการผลิตน้ำอุตสาหกรรมที่ทันสมัย เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ลดการเกิดมลพิษ ให้บริการแก่ผู้ใช้น้ำ โดยอีสท์ วอเตอร์เป็นผู้ลงทุนก่อสร้างเอง และเปิดให้บริการเชิงพานิชย์ในปี 2564 ระบบผลิตน้ำอุตสาหกรรม ตั้งอยู่ที่ อ.ปลวกแดง จ.ระยอง ใช้เทคโนโลยีการตกตะกอนแบบ External Sludge Return กำลังการผลิตสูงสุด 100,000 ลบ.ม.ต่อวัน ซึ่งเป็นระบบการตกตะกอนแบบ External Sludge Return แห่งแรก และมีกำลังการผลิตสูงสุดของประเทศไทยในปัจจุบัน เทคโนโลยีดังกล่าวยังสามารถลดค่าไฟฟ้าในการผลิตลงกว่า 1 ใน 3 เมื่อเปรียบเทียบกับระบบตกตะกอนระบบกรองทั่วไป อีกทั้งยังสามารถลดปริมาณการใช้สารเคมีในการผลิตน้ำอุตสาหกรรม รวมถึงการใช้พื้นที่ก่อสร้างน้อยกว่าระบบตกตะกอน และระบบกรองแบบทั่วไปมากกว่าร้อยละ 50

สำหรับในปี 2565 ที่ผ่านมา อีสท์ วอเตอร์  ได้รับคัดเลือกให้อยู่ในรายชื่อ Thailand Sustainability Investment (THSI) หรือ “หุ้นยั่งยืน” ประจำปี 2565 จากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เป็นปีที่ 8 ติดต่อกันสะท้อนให้เห็นถึงการให้ความสำคัญ และความสามารถในการดำเนินธุรกิจสู่ความยั่งยืน คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม มีความรับผิดชอบต่อสังคม และมีการบริหารงานตามหลักบรรษัทภิบาล (Environmental, Social, Governance : ESG) โดยมีการนำแนวคิดด้านความยั่งยืนเข้าเป็นส่วนหนึ่งในกระบวนการดำเนินธุรกิจ และมีแนวทางการบริหารจัดการที่ชัดเจน เพื่อให้เห็นถึงความสามารถในการสร้างโอกาสทางธุรกิจและเกิดประโยชน์กับผู้ถือหุ้นและทุกภาคส่วนของสังคม 

 นอกจากนี้ ในปี 2565 อีสท์ วอเตอร์ ได้รับการรับรองจากแนวร่วมปฏิบัติของภาคเอกชนไทยในการต่อต้านการทุจริต หรือ CAC  เป็นหนึ่งใน 28 บริษัทที่ผ่านการต่ออายุการรับรองครั้งที่ 2 เน้นการดำเนินงานให้มีประสิทธิภาพ โปร่งใส ยอมรับการมีส่วนร่วม และตรวจสอบได้ ตลอด 30 ปีที่ผ่านมา อีสท์ วอเตอร์ดำเนินธุรกิจอยู่บนพื้นฐานความโปร่งใส บรรษัทภิบาล และความยั่งยืน รวมถึงการคำนึงถึงผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย เพื่อบรรลุเป้าหมายในการบริหารจัดการน้ำให้เพียงพอต่อทุกภาคส่วน ตลอดจนพัฒนาคุณภาพชีวิตของชุมชนให้เติบโตอย่างยั่งยืน

ตลอดระยะเวลาการดำเนินงานของอีสท์ วอเตอร์ 30 ปีที่ผ่านมา ได้สร้างความมั่นคงด้านน้ำในพื้นที่ภาคตะวันออกอย่างต่อเนื่อง มีการลงทุน เพิ่มเพื่อสร้างเสถียรภาพในระบบโครงข่ายท่อส่งน้ำมูลค่ามากกว่า 22,000 ล้านบาท เกิดเป็นโครงข่ายท่อส่งน้ำขนาดใหญ่ หรือ Water Grid ที่สมบูรณ์ที่สุดแห่งแรกและแห่งเดียวในประเทศไทย ความยาวรวม 512 กิโลเมตร เชื่อมโยงแหล่งน้ำสำคัญในภาคตะวันออกเกือบทั้งหมด ทำให้ อีสท์ วอเตอร์ สามารถบริหารจัดการทรัพยากรน้ำทั้งระบบได้อย่างมีประสิทธิภาพครอบคลุมพื้นที่อีอีซี ลดความเสี่ยงการขาดแคลนน้ำในสภาวะภัยแล้งหรือฝนทิ้งช่วง

สำหรับผลตอบแทนแก่ภาครัฐ นอกเหนือจากการชำระค่าเช่าบริหารท่อในแต่ละปีให้แก่กรมธนารักษ์ ตั้งแต่ปี 2537-2564 ซึ่งเป็นไปตามสัญญาและอัตราที่กรมธนารักษ์กำหนด รวม 588 ล้านบาทแล้ว  อีสท์ วอเตอร์ มีการจัดสรรกำไรในแต่ละปี    โดยได้จัดสรรปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นไว้แล้ว หากคำนวณการปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นภาครัฐร้อยละ 45 จะเป็นเงินจำนวนรวมประมาณ 5,500 ล้านบาท นอกจากนี้ อีสท์ วอเตอร์มีการกำหนดราคาจำหน่ายน้ำดิบที่สะท้อนต้นทุนให้ได้กำไรที่เหมาะสมต่อความสามารถในการนำไปใช้ในการลงทุนได้ต่อเนื่อง และสามารถที่จะจัดสรรปันผลตอบแทนต่อนักลงทุนในอัตราเหมาะสม อีสท์ วอเตอร์ดำเนินธุรกิจอยู่บนพื้นฐานความโปร่งใส บรรษัทภิบาลและความยั่งยืน รวมถึงการคำนึงถึงผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย เพื่อบรรลุเป้าหมายในการบริหารจัดการน้ำให้เพียงพอต่อทุกภาคส่วน ตลอดจนพัฒนาคุณภาพชีวิตของชุมชนให้เติบโตอย่างยั่งยืน จึงได้สนับสนุนงบประมาณด้านพัฒนาคุณภาพชีวิตของชุมชน และสิ่งแวดล้อม กว่า 100 ล้านบาท ในช่วงเวลา 6 ปีที่ผ่านมานายเชิดชาย กล่าวเพิ่มเติมว่า “เรายังคงยึดมั่นภารกิจในการบูรณาการการบริหารจัดการระบบท่อส่งน้ำดิบในพื้นที่ภาคตะวันออก เน้นความเป็นเอกภาพและเสถียรภาพ รวมถึงดูแลบำรุงรักษาระบบท่อส่งน้ำให้สามารถตอบสนองความต้องการการใช้น้ำได้อย่างเพียงพอ ทันต่อเหตุการณ์ และสามารถขยายระบบโครงข่ายท่อส่งน้ำเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดในปัจจจุบันและอนาคต จึงมั่นใจได้ว่าอีสท์ วอเตอร์จะยังคงเติบโตต่อไปอย่างยั่งยืน สร้างความมั่นคงและเสถียรภาพด้านน้ำ  ตามวิสัยทัศน์การเป็นผู้นำในการสร้างความมั่นคงของการจัดการและพัฒนาทรัพยากรน้ำของประเทศด้วยสมาร์ทเทคโนโลยี ซึ่งเป็นสิ่งที่อีสท์ วอเตอร์ ยึดมั่นมาโดยตลอดระยะเวลา 30 ปี”

Facebook Comments

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่

This site uses Akismet to reduce spam. Learn how your comment data is processed.