ตอกย้ำปรากฏการณ์แฟชั่นครั้งสำคัญของไทย ELLE FASHION WEEK 2025 เฉลิมฉลอง 80 ปี ELLE ภายใต้คอนเซปต์ ‘LIFE – A Seed of Creativity, The Future of Fashion’ ณ ริเวอร์ พาร์ค ไอคอนสยาม

0
37

ELLE Fashion Week 2025 ปิดฉากสัปดาห์แฟชั่นทรงอิทธิพลและเก่าแก่ที่สุดของประเทศ ภายใต้การบริหารงานโดย อาลี ซีอานี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แมส ดิจิทัล จำกัด ผู้ถือครองลิขสิทธิ์ ELLE Thailand และ ELLE MEN Thailand สื่อแฟชั่นและไลฟ์สไตล์ชั้นนำระดับโลกจากประเทศฝรั่งเศสที่ครองใจผู้อ่านมาอย่างยาวนาน พร้อมวาระแห่งการเฉลิมฉลองครบรอบการก่อตั้ง 80 ปี ของ ELLE ท่ามกลางเสียงชื่นชมจากผู้ชมและผู้คนในวงการแฟชั่นไทยที่หลั่งไหลมาร่วมงานตลอด 4 วันเต็ม บนรันเวย์ประวัติศาสตร์ ริเวอร์ พาร์ค ไอคอนสยาม ระหว่างวันที่ 13-16 พฤศจิกายน 2568 จุดหมายเดิมเป็นปีที่สอง เพื่อสานต่อพันธกิจในการเป็นพื้นที่แห่งแรงบันดาลใจอันไร้ขีดจำกัด และผลักดันศักยภาพของดีไซเนอร์ไทยให้ก้าวไกลสู่เวทีสากล ภายใต้คอนเซปต์ ‘LIFE – A Seed of Creativity, The Future of Fashion’ เพาะเมล็ดพันธุ์แห่งความคิดสร้างสรรค์ให้เติบโตสู่อนาคต สะท้อนภาพความเชื่อมั่นในพลังแห่งความหลากหลาย เสน่ห์อันเป็นเอกลักษณ์ และการตีความนิยามอีกมิติของแฟชั่นซึ่งขับเคลื่อนด้วยชีวิตและจิตวิญญาณของผู้คน ไม่ใช่เพียงเสื้อผ้าที่สวมใส่ แต่คือเรื่องราวและตัวตนที่ถูกปลุกให้มีชีวิตชีวาบนรันเวย์

ความยิ่งใหญ่ตระการตาครั้งนี้ ได้รับการสนับสนุนจากพันธมิตรชั้นนำที่มาร่วมผนึกกำลังสร้างสรรค์โมเมนต์อันน่าประทับใจ นำโดยพันธมิตรหลักอย่าง ICONSIAM แลนด์มาร์กระดับโลกซึ่งถือเป็นเดสติเนชั่นแห่งการช้อปปิ้งและไลฟ์สไตล์ริมแม่น้ำเจ้าพระยา ตอกย้ำการเป็นศูนย์กลางแห่งแรงบันดาลใจระดับเวิลด์คลาสอย่างแท้จริง ร่วมด้วย Bobbi Brown แบรนด์เครื่องสำอางระดับโลกที่เชื่อมั่นเรื่องความสวยเรียบง่ายอย่างเป็นธรรมชาติ ให้คุณมั่นใจขึ้นในแบบที่คุณเป็น, Don Julio (ดอนฮูลิโอ) ลักชัวรี่เตกีล่าอันดับหนึ่งของโลกสำหรับทุกการเฉลิมฉลอง, Madame Fin น้ำหอมสัญชาติไทยที่รังสรรค์กลิ่นหอมอันเป็นเอกลักษณ์ นึกถึงความหอม นึกถึงมาดามฟิน, SLC Clinic & Hospital สถานเสริมความงามอันดับหนึ่งของไทยที่ได้รับการยอมรับ ด้วยประสบการณ์ของทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญมากกว่า 21 ปี และ XPENG Thailand (เอ็กซ์เผิง ประเทศไทย)ผู้นำเข้าและจัดจำหน่ายนวัตกรรมยานยนต์ไฟฟ้าอัจฉริยะระดับพรีเมียม-ไฮเทค ที่จะมาร่วมกันเนรมิตรันเวย์ให้สมบูรณ์แบบและผลักดันผลงานของเหล่าดีไซเนอร์แถวหน้าของประเทศ ที่มาร่วมกันเนรมิตรรันเวย์ในครั้งนี้ให้สมบูรณ์แบบและผลักดันผลงานของเหล่าดีไซเนอร์แถวหน้าของประเทศอย่างเต็มภาคภูมิ

การสร้างแรงสั่นสะเทือนไปทั่วทั้งวงการในคราวนี้ประกอบด้วย 12 โชว์ จาก 26 แบรนด์และดีไซเนอร์ไทยที่อัดแน่นด้วยพลังแห่งความคิดสร้างสรรค์ ได้แก่ THEATRE, Hook’s by Prapakas, LA BOUTIQUE, ICONCRAFT x WISHARAWISH, TandT Presented by Madame Fin, NICHp, STUDIO UNKNOWN, EVERYWEEK.OUTFIT, HEIDI’S SECRET X LOPTEL, SILHOUETTE, MERGE, RENIM PROJECT, BLACKSUGAR และ Boy Scouts ELLE MEN Presented by XPENG ซึ่งแต่ละแบรนด์ต่างนำเสนอผลงานที่ตีความคอนเซปต์ ‘LIFE – A Seed of Creativity, The Future of Fashion’ ออกมาได้อย่างน่าทึ่ง

ในปีแห่งการเฉลิมฉลองนี้มาพร้อมกับเซอร์ไพรส์ที่ทุกคนรอคอย กับโชว์พิเศษ Social Buzz รันเวย์ที่จะสร้างกระแสไปทั่วโซเชียลมีเดีย ซึ่งถือเป็นการปรากฏตัวครั้งแรกบนรันเวย์ ELLE FASHION WEEK ของ 3 ดีไซเนอร์ไฟแรง ได้แก่ MERGE แบรนด์ขวัญใจเจนซีที่มีดีไซน์เอกลักษณ์เฉพาะตัว, RENIM PROJECT แบรนด์ที่สร้างนิยามใหม่ให้เสื้อผ้า Utility Wear ด้วยกระบวนการรักษ์โลก และ BLACKSUGAR แบรนด์สไตล์ avant-garde ร่วมสมัย และอีกหนึ่งโชว์สำคัญคือ Boy Scouts ELLE MEN Presented by XPENG การรวมพลังครั้งประวัติศาสตร์ของ 12 แบรนด์เสื้อผ้าบุรุษชั้นนำของไทย ประกอบด้วย MOO Bangkok, ISSUE Thailand, VVON SUGUNNASIL, Sretsis, ANURUQ, Dry Clean Only, INTIRA, 37°c Thirty-seven degrees, Good Mixer, House of UPA-IN, Atelier Pichita และ TAKARA WONG มาร่วมกันรังสรรค์กว่า 50 ลุค

ตลอดสัปดาห์ ELLE Fashion Week 2025 ได้ถ่ายทอดพลังและความหลากหลายของแฟชั่นไทยผ่านโชว์จากหลากหลายแบรนด์ดีไซเนอร์ เริ่มต้นวันแรกด้วยHEIDI’S SECRET X LOPTEL กับคอลเล็กชั่น ‘Time after Time – the ’80s Rave reborn’ ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากวัฒนธรรมปาร์ตี้ใต้ดิน (Underground Rave Party) ยุค ’80s ถ่ายทอดจิตวิญญาณแห่งความกล้า อิสระ ไร้กรอบ นำเสนอผ่านแฟชั่นยั่งยืนที่ไม่กำหนดเพศซึ่งสะท้อนแนวคิด Sustainable Fashion ในทุกมิติ ตั้งแต่การเลือกใช้วัสดุที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ทั้งหนังวีแกนที่ทำจากพืชและใยสับปะรด, ผ้าและหนังรีไซเคิล รวมถึง ผ้าไหมไทย, ผ้า Deadstock ไปจนถึงกระบวนการผลิตที่ใช้ระบบคอมพิวเตอร์เพื่อลดเศษวัสดุ (Zero Waste) ตีความภายใต้แนวคิด ‘Reb-Ponsible’ ปรัชญาของ Loptel ที่ผสมผสาน ‘ความกล้าท้าทาย’ เข้ากับ ‘ความรับผิดชอบ’ เพื่อสร้างสรรค์แฟชั่นที่กล้ากบฏอย่างมีจิตสำนึก ต่อด้วย  EVERYWEEK.OUTFIT คอลเล็กชั่น “Soul in Stardust” ที่สะท้อนประกายของแสงในตัวตน ผ่านเสน่ห์ของกลิตเตอร์อันเป็นลายเซ็นของ Everyweek.outfit เน้นการดีไซน์ที่ผสมผสานความสง่างามเหนือกาลเวลาภายใต้แนวคิด ‘Glitter is Forever Fashion’ อีกทั้งยังให้ความสำคัญเรื่องของ Sustainable Fashion หรือวิถีแฟชั่นยั่งยืนอย่างจริงจัง พร้อมสร้างสรรค์ผลงานที่ยังคงเอกลักษณ์ด้วยลวดลายปักเฉพาะตัว เพื่อให้แต่ละชุดกลายเป็น Timeless Piece ถือเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญของการนำแนวคิดความยั่งยืนมาผสานเข้ากับดีไซน์ของแบรนด์ และ THEATRE กับโชว์คอลเล็กชั่น ‘Starman 1984’ เพื่อเฉลิมฉลองวาระ 4 ทศวรรษแห่งความสำเร็จของแบรนด์ พูดถึงบทสรุปจากจินตนาการในการสร้างแบรนด์ THEATRE ตั้งแต่ปี 1984 จากความรักในการผสมผสานเนื้อผ้า ความต่างทางวัฒนธรรม งานฝีมือ และความลื่นไหลทางเพศอันเป็นแกนหลัก โดยในคอลเล็กชั่นนี้ยังตอกย้ำแนวคิด Sustainable Fashion ที่แบรนด์ให้ความสำคัญมาตลอด ทั้งการใช้ผ้าทอสีย้อมธรรมชาติ, การนำเส้นด้าย Deadstock มาทอใหม่, การนำเศษผ้าจากการตัดเย็บมาสร้างสรรค์เป็นผืนผ้าใหม่ ไปจนถึงการตั้งคำถามต่อสังคมไทยผ่านผลงานในคอนเซปต์ ‘Made in Theatre Made in Thailand’

ต่อด้วยโชว์วันที่สอง หนึ่งในไฮไลต์สุดตระการตาอย่างSocial Buzz นำเสนอ 3 โชว์ที่น่าจับตาจาก 3 แบรนด์ ประกอบด้วย MERGE มาพร้อมกับโชว์คอลเล็กชั่น ‘Urban Edge’ ได้รับแรงบันดาลใจจากความดิบแต่มีเสน่ห์ของเมือง ทั้งพื้นผิวถนนขรุขระ หรืออาคารที่ไม่สมบูรณ์แต่เปี่ยมไปด้วยคาแรกเตอร์ ถูกนำมาตีความใหม่ลงบนคอลเล็กชั่นเสื้อผ้า Ready to wear ถ่ายทอดเสน่ห์ของสาวยุคใหม่ที่มีความขบถ มั่นใจในความไม่สมบูรณ์แบบ และพร้อมประกาศว่า ‘แฟชั่นคือเครื่องมือที่ขับเคลื่อนความหลากหลาย ความมั่นใจ และพลังของมนุษย์’ RENIM PROJECT มาพร้อมกับโชว์คอลเล็กชั่น ‘Cloud Breaker’ ได้รับแรงบันดาลใจจากสภาวะโลกร้อนและสภาพอากาศสุดขั้วที่ทำให้เกิดพายุฝนรุนแรง โดยแบรนด์ได้นำยีนส์เก่าและวัสดุเหลือใช้อื่นๆ มาทำการอัปไซคลิง สร้างสรรค์เป็นผลงาน Sustainable Fashion สไตล์ Hybrid Utility ผสมผสานเทรนด์ Longevity และ Wellness เข้ากับแฟชั่น เพื่อสะท้อนไลฟ์สไตล์ที่ใส่ใจสุขภาพและความยั่งยืน และBLACKSUGAR มาพร้อมกับโชว์คอลเล็กชั่น ‘Living Curve’ ได้รับแรงบันดาลใจจากสถาปัตยกรรมล้ำยุค สะท้อนผ่านเส้นสายและรูปทรงโมเดิร์นในสไตล์ avant-garde พร้อมถ่ายทอดแนวคิด Sustainable Fashion ผ่านการออกแบบที่คำนึงถึงความทนทานสร้างสรรค์ผลงานที่เหนือกาลเวลา ไม่ยึดติดกับเทรนด์ที่เปลี่ยนแปลงรวดเร็ว เพื่อเสนอแนวทางการแต่งกายที่ ‘ตระหนักรู้’ มากขึ้น ต่อด้วยโชว์ STUDIO UNKNOWN กับคอลเลกชัน ‘The Known Unknown’ ถ่ายทอดพลังของผู้หญิงที่มั่นใจ เรียบง่ายแต่เปี่ยมด้วยสไตล์ เธอคือภาพแทนของผู้หญิงในเมืองใหญ่ที่ใช้ชีวิตในแบบของตัวเองอย่างแท้จริง คอลเล็กชั่นนี้นำเสนอโครงสร้างที่เฉียบคมและดีเทลที่เรียบเท่ ในโทนสีธรรมชาติและ Muted Tones สะท้อนความสงบ มั่นใจ และอิสระในแบบของผู้หญิง Studio Unknown และ NICHp กับคอลเล็กชั่น The Silent Flow’ มีจุดเริ่มจากคำถามที่ว่า “ทำไมเราถึงมีเศษผ้าเหลือจากการตัดเย็บ?” ความรู้สึกเสียดายต่อเศษแพรพรรณที่ถูกทิ้ง กลายเป็นจุดเริ่มต้นของแนวคิดการทดลองนำเศษผ้าชิ้นเล็กชิ้นน้อยกลับมาสร้างสรรค์ใหม่ และนำมาต่อยอดเป็นดีเทลที่มีเอกลักษณ์ โดยมุ่งใช้ผ้าให้หมดโดยไม่เหลือเศษ (Zero Waste) เพื่อให้ผ้าทุกผืนได้ถูกใช้ประโยชน์สูงสุดในคอลเล็กชั่นที่เปรียบเหมือนการพาท่องไปในโลกธรรมชาติเหนือจริง

แฟชั่นโชว์วันที่สาม เริ่มด้วยแบรนด์SILHOUETTE กับคอลเล็กชั่น ‘Pulse of Existence’ ได้รับแรงบันดาลใจจาก ‘ชีวิต’ จังหวะการเต้นของหัวใจ และการไหลของลมหายใจ สะท้อนถึงพลังแห่งการฟื้นคืนและความเข้มแข็งของผู้หญิงยุคใหม่ โชว์นี้จะพาทุกคนดื่มด่ำไปกับ จังหวะชีพจรของชีวิต ผ่านโชว์อันน่าตื่นเต้นและประทับใจด้วยจังหวะของเสียงดนตรี และแสงสีที่มีชีวิต นอกจากนี้ แบรนด์ยังคงให้ความสำคัญกับ Sustainable Fashion อย่างต่อเนื่อง ผ่านการเลือกใช้วัสดุที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เช่น ผ้า Modal นำมาใช้ทดแทนคอตตอน และเส้นใยโพลีเอสเตอร์รีไซเคิลที่นำเข้าจากประเทศญี่ปุ่น ต่อด้วยโชว์ที่ทุกคนต่างตั้งตารอ ICONCRAFT x WISHARAWISH กับคอลเล็กชั่น Spring/Summer 2026 ร่วมสืบสานพระราชปณิธานสมเด็จพระพันปีหลวง ในการขับเคลื่อนเอกลักษณ์ผ้าไทยจาก 9 ชุมชน ถ่ายทอดความงามล้ำค่าและแนวคิด Sustainable Fashion ผ่านโปรเจกต์ ‘ICONCRAFT x WISHARAWISH’ โดยดีไซเนอร์ดัง วิชระวิชญ์ อัครสันติสุข นำเสนอคุณค่าของผืนผ้าไทยผ่านคอลเล็กชั่น Spring/Summer 2026 โดยคอลเล็กชั่นนี้ได้รับแรงบันดาลใจจาก ‘นักล่าพลัดถิ่น’ ถ่ายทอดผ่านผ้าไทยที่สะท้อนทั้งศิลปะและ จิตวิญญาณแห่งภูมิปัญญาไทย เพื่อสนับสนุนช่างฝีมือท้องถิ่นและอนุรักษ์มรดกผ้าไทยให้คงอยู่อย่างยั่งยืน และ TandT Presented by Madame Fin กับคอลเล็กชั่น ‘Last But Not Least’ ที่ตีความแฟชั่นร่วมสมัยในมุมมองของ TandT ถ่ายทอดความมั่นใจและความไม่สมบูรณ์แบบให้กลายเป็นความสมบูรณ์แบบ ในบรรยากาศของพิธีจบการศึกษาและงานพรอม สะท้อนผ่านคาแรกเตอร์นักเรียน 4 กลุ่ม Nerd, Sporty, Naughty, Outcast โดดเด่นด้วยซิลูเอตที่ได้แรงบันดาลใจจากชุดรับปริญญาพร้อมดีเทลอย่างริบบิ้นพาดบ่า และลายปักจากใบประกาศนียบัตร

ปิดฉากวันสุดท้ายด้วยโชว์พิเศษBoy Scouts ELLE MEN Presented by XPENG นำเสนอภายใต้คอนเซปต์  ‘Boy Scouts’ กับการตีความที่ไม่ถูกจำกัดอยู่ในกรอบเดิม ร่วมสะท้อนภาพชายหนุ่มยุคใหม่ ผู้รักการผจญภัย กล้าลอง มีความคิดสร้างสรรค์ และใส่ใจในความยั่งยืน (Sustainability) ผ่านผลงานที่เป็นการรวมพลังครั้งประวัติศาสตร์ของ 12 แบรนด์เสื้อผ้าบุรุษชั้นนำของไทย ได้แก่ MOO Bangkok, ISSUE Thailand, VVON SUGUNNASIL, Sretsis, ANURUQ, Dry Clean Only, INTIRA, 37°c Thirty-seven degrees, Good Mixer, House of UPA-IN, Atelier Pichita และ TAKARA WONG มาร่วมกันรังสรรค์กว่า 50 ลุค ต่อด้วยLA BOUTIQUE กับคอลเล็กชั่น The Architectural Body Atelier 2026 ที่สะท้อนมุมมองใหม่ของ “ร่างกายมนุษย์ในฐานะสถาปัตยกรรม” ผ่านโครงสร้างเสื้อผ้าที่เปี่ยมด้วยความละเอียด ประณีต และจิตวิญญาณของงานฝีมือระดับสูง นำแรงบันดาลใจจาก ยุควิกตอเรียน (Victorian Era) ยุคแห่งความหรูหราที่แฟชั่นเล่นกับรูปร่างของร่างกายมนุษย์อย่างสุดขั้ว ทั้งเอวคอด กระโปรงสุ่ม และโครงสร้างเสื้อผ้าที่เต็มไปด้วยพลัง โดดเด่นด้วย Craftsmanship ที่ซับซ้อน และ การทดลองวัสดุที่แปลกใหม่ เช่น ผ้าแคนวาส (Canvas) ถูกนำมาปั้นโครงสร้างเสื้อผ้าที่มีความคมชัด แข็งแรง แต่ยังคงความอ่อนโยนในสัมผัสและการเคลื่อนไหว นอกจากนี้ยังนำเสนอแนวคิด Sustainable Fashion ผ่านคอนเซปต์ ‘Sustainability through Craftsmanship’ เลือกใช้ผ้าที่มีเส้นใยรีไซเคิล และวัสดุบางส่วนที่นำกลับมาใช้ใหม่ (Reuse) จากอาร์ไคฟ์ เพื่อถ่ายทอดแนวคิด ‘Reborn Beauty’ โดยเน้น ‘คุณภาพของแต่ละชิ้น’ และ ‘อายุของงานฝีมือ’ แทนการผลิตในปริมาณมาก ปิดจบโชว์ที่เติมเต็มสีสัน และความสนุกสนานทั่วรันเวย์ Hook’s by Prapakas กับคอลเล็กชั่น HOOKKA HOOKKA THE RUBBER DOLLS เป็นครั้งแรกที่ Hook’s นำแรงบันดาลใจจากโลกของ Art Toy มาถ่ายทอดสู่รันเวย์ ผลงานชุดนี้คือภาพสะท้อนความฝันที่ต้องการสร้าง Art Toy ในแบบฉบับของตนเอง จนเกิดเป็นคาแรกเตอร์เฉพาะตัวที่โดดเด่น พร้อมเผยโฉมคาแรกเตอร์ชิ้นแรกอย่าง PIKA POKA ที่จะเข้ามาเติมเต็มความสนุก สีสัน และพลังขับเคลื่อนอารมณ์บนรันเวย์ พร้อมนำเสนอโชว์ที่ยังคงรักษาเอกลักษณ์อันชัดเจนของ Hook’s ไว้อย่างครบถ้วน

Facebook Comments

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่

This site uses Akismet to reduce spam. Learn how your comment data is processed.