การดำเนินธุรกิจ นอกเหนือจากเรื่องของผลกำไรและการเติบโตของธุรกิจแล้ว การยึดหลักธรรมาภิบาล และการให้ความจริงใจ ความซื่อตรงกับผู้บริโภค ยังเรียกว่าเป็นหัวใจสำคัญที่จะส่งผลให้การทำธุรกิจนั้นๆ เติบโตไปได้อย่างยั่งยืน
มาดามนุ้ย หรือ ณัชชา กิจจริยภูมิ รองประธานกรรมการบริหารโรงพยาบาลวิภาวดี และผู้บริหารบริษัท บิวตี้ ดีไซน์ เซ็นเตอร์ จำกัด รวมถึงตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ผู้ก่อตั้งสถาบันเสริมความงามครบวงจร V Design Clinic และ V Desgin Hair บอกเล่าถึงแนวโน้มของธุรกิจความงามของประเทศไทยในวันนี้ ว่าเป็นธุรกิจหนึ่งที่มีการเข้ามาลงทุน และถอนตัวจากธุรกิจอยู่ในทุกปี “เหตุผลสำคัญที่ทำให้นักลงทุนถอนตัวออกจากธุรกิจความงาม ส่วนใหญ่มาจากการได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ในช่วง 1 – 2 ปีที่ผ่านมา เนื่องจากยอดขายลดลงอย่างมาก” ถือเป็นการพลิกโฉมคลินิกความงาม ที่เปลี่ยนแปลงไปตามเทรนด์ของผู้บริโภค
“เท่าที่เห็น เทรนด์วันนี้ของลูกค้ามีการเปลี่ยนแปลงไปค่อนข้างมาก ซึ่งจากที่เห็นถ้าเป็นคลินิกความงามในตลาดบน ก็ยังมีผู้ไปใช้บริการอยู่อย่างสม่ำเสมอ แต่สำหรับตลาดระดับกลางแล้ว เรียกว่าเป็นตลาดที่ธุรกิจความงามหายไปค่อนข้างเยอะมาก ผิดกับอดีตที่ผ่านมาที่เรียกว่าเป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุด” มาดามนุ้ยอธิบายว่า ด้วยสถานการณ์โควิด-19 ทำให้ลูกค้าที่อยู่ในคลินิกตลาดระดับกลางมีการใช้จ่ายที่น้อยลง อันเนื่องจากได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจที่ไม่เอื้ออำนวย “ขณะเดียวกันผู้ประกอบการคลินิกที่อยู่ในตลาดระดับกลาง ก็
ขยับตัวเองลงมาอยู่ในตลาดระดับล่าง เพื่อสร้างความอยู่รอดให้กับตัวเอง ดังนั้นตรงนี้จึงเป็นสิ่งที่ทำให้เราเองต้องมาเลือกแล้วว่าเราจะทำคลินิกในตลาดบน หรือจะลงไปเล่นในตลาดระดับแมส”
“เราพยายามทำตลาดที่อยู่ภายใต้หลักธรรมาภิบาลทางการแพทย์
ที่เน้นการพูดความจริงกับลูกค้า ให้ข้อมูลจริงเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ของเรา
ที่สามารถช่วยผู้บริโภคได้แค่ไหน เราพูดความจริงกับผู้บริโภคเลย“
มาดามนุ้ยเล่าถึงจุดเด่นของ V Design Clinic ด้วยว่าเป็นสถาบันความงามที่มุ่งเน้นการพัฒนานวัตกรรมใหม่ๆ เข้ามาเพื่อบริการลูกค้า “แต่เดิม V Design Clinic ของเราเป็นเพียงคลินิกเล็ก ๆ เพียงแห่งเดียวอยู่ในโรงพยาบาล และยังไม่ค่อยมีใครรู้จักทำให้อัตราการเติบโตในช่วงแรกที่เราลงทุนไปนั้นไม่ค่อยดีสักเท่าไร แต่หลังจากที่เราพยายามค้นหานวัตกรรมเข้ามา อย่างเรื่องของการปลูกผมในแบบ V Design ที่ถือเป็นจุดเด่นไม่ซ้ำใครในเมืองไทย ทำให้คลินิกของเราผ่านพันวิกฤต และเติบโตมาได้อย่างทุกวันนี้”
เช่นเดียวกับการเข้ามาทำธุรกิจอาหารเสริม ซึ่งวันนี้แม้จะมีคู่แข่งในธุรกิจค่อนข้างมาก แต่สำหรับมาดามนุ้ยแล้ว เธอเรียกว่ามีหลักคิดและแนวทางที่ไม่ซ้ำใคร “ปัจจุบันคนหันมาใส่ใจเรื่องสุขภาพมากขึ้น บางคนอาจไม่อยากออกจากบ้าน แต่อยากได้อะไรที่เข้ามาดูแลตัวเองในบ้าน ซึ่งจะให้ไปใช้บริการด้วยการให้แพทย์มาบริการที่บ้านก็ไม่ได้ ถือเป็นการผิดกฎสาธารณสุข เพราะฉะนั้นเราจึงเห็นว่าการพัฒนาธุรกิจอาหารเสริมน่าจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด แต่อย่างที่บอกค่ะว่าตลาดนี้มีคู่แข่งค่อนข้างเยอะ เราจึงพยายามสร้างจุดเด่นด้วยการหานวัตกรรมใหม่ๆ เข้ามา” ซึ่งมาดามนุ้ยบอกว่าการเลือกลงทุนกับทางประเทศเยอรมนี เป็นหนึ่งในแนวคิดที่ไม่เพียงจะทำให้ได้รับความน่าเชื่อถือเท่านั้น แต่ยังทำให้ได้ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมที่มีคุณภาพไปด้วย
“เหตุผลที่เราเลือกลงทุนและให้ทางเยอรมันเป็นโออีเอ็มให้เรา เพราะประเทศเยอรมนีเป็นประเทศที่ได้รับการยอมรับว่ามีความก้าวหน้าทางการแพทย์ และผลิตภัณฑ์อาหารเสริมที่เรียกว่าอยู่ในระดับแถวหน้าของโลกใบนี้ ขณะเดียวกันผลิตภัณฑ์ของเราที่ได้มายังมีคุณภาพที่เมื่อรับประทานเข้าไปแล้วเห็นผลจริง และที่สำคัญยังสามารถรับประทานได้ต่อเนื่อง และไม่เป็นอันตรายต่อผู้บริโภค ซึ่งสามารถรับประทานได้ในระยะยาว ไม่มีการสะสมของสารใด ๆ ในร่างกาย”
“เราพยายามทำตลาดที่อยู่ภายใต้หลักธรรมาภิบาลทางการแพทย์ ที่เน้นการพูดความจริงกับลูกค้า ให้ข้อมูลจริงเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ของเรา ที่สามารถช่วยผู้บริโภคได้แค่ไหน เราพูดความจริงกับผู้บริโภคเลยไม่ต้องโอเวอร์เคลม” มาดามนุ้ยบอกว่า นี่เป็นส่วนหนึ่งของการสร้างความเป็นผู้นำในตลาดธุรกิจความงามและอาหารเสริม “สำหรับการสร้างตัวเองให้ก้าวเป็นผู้นำในองค์กร และเป็นที่ยอมรับ ก็คงต้องมาดูในเรื่องของการทำงานและการบริหารองค์กรเป็นหลัก หากเรามีการวางกลยุทธ์และหลักธรรมาภิบาลในบริษัทได้ดี ทำให้คนในองค์กรเห็นสิ่งที่เราอยากให้เป็นกับผู้บริโภคอย่างจริงใจ รวมถึงงานที่เราทำมาทั้งหมดส่งผลดีต่อผู้บริโภคด้วย ไม่เน้นขายโฆษณา ถือเป็นสิ่งที่สำคัญที่จะทำให้เราก้าวเป็นผู้นำที่ดี” มาดามนุ้ยเสริมในช่วงท้ายด้วยว่า หากมีความซื่อสัตย์ มีความกตัญญู และมีคุณธรรมด้วยก็จะทำให้เป็นผู้นำที่ดีอย่างแท้จริง
