“ต่อ-ธนภพ ลีรัตนขจร” วันที่ชีวิตไม่ต้อง “สมบูรณ์แบบ”

0
743

ต่อ-ธนภพ ลีรัตนขจร พระเอกมากฝีมือที่มักจะได้รับบทดีๆ จนประสบความสำเร็จมีชื่อเสียง และกลายเป็นพระเอกเบอร์ต้นๆ ของเมืองไทย ที่ได้การยอมรับในฝีมือการแสดง จนทำให้มีแฟนคลับเหนียวแน่น สิ่งหนึ่งที่ทำให้เขาเดินมาสู่ความสำเร็จในวันนี้ไม่ใช่แค่หน้าตาและรูปร่างเท่านั้น แต่ความสามารถและความมุ่งมั่นต่างหาก ที่ผลักดันเขามายืนถึงจุดนี้ เขาบอกกับเราว่าเมื่อก่อนเคยเป็น PERFECTIONIST ที่เสพติดความสมบูรณ์แบบ ชอบกดดันตัวเองจนชีวิตไม่มีความสุข จนวันหนึ่งเขาก็ได้คำตอบกับตัวเองว่าอะไรที่เกินกำลังตัวเองก็ต้องรู้จัก”วาง” เท่านี้ชีวิตก็มีความสุข

การเริ่มโปรเจกต์ “ใต้หล้า” เกิดจากความรู้สึก การเดินทางมาถึงจุดนี้คือดีเกินคาด ถือเป็นเรื่องแรกที่ผมเริ่มเข้ามาตั้งแต่ยังไม่มีตัวหนังสือ และนี่เป็นครั้งที่ 2 ที่ผมแอบเอาชีวิตตัวเองใส่ลงไปในบท ซึ่งหลังออนแอร์ฟิดแบ็กดีมาก ทุกคนตั้งแต่ผู้จัด ผู้กำกับ และตัวผมเองก็อินกับเรื่องนี้มาก ผมว่าจุดยืนของแต่ละคน แต่ละอาชีพไม่เหมือนกัน มีวิธีคิด วิธีพูดที่ไม่เหมือนกันและเรื่องนี้คือวิธีพูดแบบของผม ผมสามารถพูดทุกอย่างภายใต้ตัวละครที่ผมเป็น ผมสนุกและอินกับมัน ผมกับตัวละครใต้หล้ามีบางอย่างที่คล้ายกัน และบางอย่างที่ไม่เหมือนผมเลย ใต้หล้า เหมือนกับผมตรงที่เขารักครอบครัว มีจุดเดือดอารมณ์ต่ำ แต่พยายามเก็บความใจร้อนไว้ ผมว่า ใต้หล้า เป็นคนดีกว่าผม เพราะเราอยู่ในสังคมที่เทาขึ้นทุกวัน ผมเห็นชีวิตในทุกวัน ผมอยากให้คนอย่างใต้หล้ามีอยู่จริง ถึงแม้ว่าเราไม่เคยเจอ แต่เชื่อว่ามันต้องมีคนแบบนี้บ้าง

ละครใต้หล้าเป็นการนำเสนอเรื่องที่ไม่ดูถูกคนดู ผมถูกปลูกฝังจากนาดาวว่าอย่าคิดแทนคนดู เราต้องเชื่อใจคนดู ทุกเรื่องที่เขาดูเขาจะคิดได้ ถึงแม้อาจจะคิดได้ไม่เท่ากัน แต่วันนี้ฟืดแบ็กคือทุกคนได้อะไรจากสิ่งที่เราพูดไป ต่อให้ต่างมุมมอง สิ่งที่เราอยากให้มีคือการแชร์ความคิดเห็น เราจะเห็นความไม่เท่าเทียมของเรื่องฐานะ สิ่งที่ผมอยากพูดในฐานะ “ต่อ ธนภพ” คือผมไม่อยากพูดเรื่องความไม่เท่าเทียม เพราะมันเห็นขัดอยู่แล้ว แต่สิ่งที่ผมอยากพูดคือเรื่องของ “โอกาส” ผมรู้สึกว่าคนเข้าใจผิดเรื่องโอกาส เพราะโอกาสมีทุกที แต่ไม่ได้มีสำหรับทุกคนและทุกคนที่ได้โอกาสก็ไม่ได้ Success นี่คือสิ่งที่ผมพยายามสื่อ และผมอินกับเรื่องใต้หล้า เพราะผมมองว่าใต้หล้าไม่ได้ได้แค่โอกาส แต่คนคนนี้มันใช้โอกาสคุ้ม เด็กวัยรุ่นได้เงินมา 25 ล้านบางคนไม่ทำหรอกธุรกิจ อาจเอาไปจุนเจือครอบครัว เอาไปใช้จ่ายซื้อความสุข แต่ใต้หล้าใช้มันเหมือนนี่คือโอกาสสุดท้าย ใช้แบบอย่ไปคิดว่าถ้าพลาดเดี๋ยวก็มีโอกาสกลับมาอีกครั้ง ถ้าไม่มีล่ะหรือบางคนไม่เคยมีโอกาส ก็วนกลับมาถามว่าทำไมคุณถึงไม่มีโอกาส เรื่องนี้ทำให้ผมฟิน เพราะได้เล่าเรื่องที่อยากเล่า ใครที่ไม่มีโอกาสก็อย่าไปนอยด์ เพราะทุกชีวิตเกิดมาเพื่อแก้ปัญหา

“สิ่งที่ผมอยากพูดคือเรื่องของ “โอกาส” ผมรู้สึกว่าคนเข้าใจผิดเรื่องโอกาส เพราะโอกาสมีทุกที่ แต่ไม่ได้มีสำหรับทุกคนและทุกคนที่ได้โอกาสก็ไม่ได้ SUCCESS”

ถ้าถามผมว่ารับมือกับแรงกดดันและปัญหาที่เข้ามาในชีวิตอย่างไร คงเป็นตอนที่ผมผ่านกอง One for the Road มาได้ หนังเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ทำให้ผมสามารถปลดล็อกการกดดันตัวเองได้ เมื่อก่อนผมจริงจัง เป็นคนเครียด กดดันตัวเองสุด ๆ ผมไม่รู้นะ อาจจะเป็นนิสัย เป็นพวกเสพติดความ Perfect เป็นพวก Perfectionist ผมเคยพูดว่าไม่เคยกดดันตัวเอง แต่ในวันที่ผมข้ามมันมาได้ มันไม่จริง กดดันตัวเอง กดดันคนรอบข้าง ทำเพราะอยากให้ทุกอย่างมันออกมาดี ไม่อยากอยู่ที่เดิม อยากให้ตัวเองเก่งขึ้น ผมกดดันตัวเองจนเป็นธรรมชาติ ใครบอกต่อกดดันตัวเองเกินไปผมจะ “เฮอะ…ก็ไม่นะ” คือคนข้างนอกมองมาชีวิตผมมันอึมครึมมาก แต่ตอนนี้ผมจัดการกับความรู้สึกนี้ได้ ตั้งแต่รู้จักกับคำว่า “ช่างแม่ง” จริงๆ มันเป็นคำที่ทำง่ายมากนะ แต่คนที่กดดันตัวเองจะไม่มีวันเข้าใจ หัวเราะ)

ผมวางอารมณ์และแรงกดดันตัวเองมาตั้งแต่ตอนที่กลับมาจากนิวยอร์ก แล้วถ่าย One for the Road ที่เมืองไทย ตอนนั้นผมเจอความกดดันที่มันหนักจนรับไม่ไหว เรา Manage มันไม่ได้จริงๆ จนมันระเบิด ถ้ายังถือต่อไปต้องเป็นบ้าแน่ๆ เพราะผมเป็นคนรักสิ่งที่ผมทำมาก ในวันที่มัน “โพละ” ผมบอกกับตัวเอง “เหี…เอ๊ย… ช่างแม่ง ไม่เอาแม่งละ” พอตื่นเข้ามาชีวิตโล่ง เบามากเลย ไม่เคยรู้สึกเบาแบบนี้เลยตลอดระยะเวลา 8 ปีที่ทำงานมา พอทบทวนตัวเองเราก็จำความรู้สึกที่เราวางบางอย่างได้ แล้วก็เริ่มเอาไปใช้กับครั้งต่อๆ ไป ชีวิตก็ Stable และชินกับความรู้สึกปล่อยวาง ชีวิตผมไม่ได้กดดันทุกอย่าง กดดันเป็นอย่างๆ พอทำได้ก็ใช้ชีวิตแฮปปี้ขึ้น

ทุกวันนี้ความคิดผมเปลี่ยนไปเลย เมื่อก่อนจะอยากทำงานที่ยังไม่เคยได้ลองทำ มีแพลนนั่นนี่ แต่ตอนนี้คือไม่มีแพลนอะไรเลย แค่ใช้ชีวิตไปตามสเต็ปและโอกาส ตอนนี้นอกจากงานวงการบันเทิงผมก็เป็น Investor ตัวน้อย ซึ่งมีหลากหลายสินทรัพย์ที่ลงทุนไป ผมเองอยากทำธุรกิจนะ แต่คงต้องมีเวลาดูแลก่อนถึงจะทำ เพราะถ้าทำอะไรต้องดีที่สุด การเป็นนักแสดงมันเป็นสิ่งพิเศษสำหรับผม เวลาที่เกิดขึ้นผมจะทิ้งทุกอย่าง การเป็นนักแสดงมันมากกว่าที่ทุกคนคิด มันคืองานอาร์ตที่ผมว่ามันเติบโตไปได้อีกเรื่อยๆ ทุกวันนี้ยังไม่เห็นลิมิตมันเท่าไร ทุกวันนี้ความหล่อมันยังไม่ใช่ Piority อันดับต้นๆ เลยสุดท้ายมันดิ้นได้ มันมีหลายสาย ยังมีทางให้ผมเดินอีกมาก

Facebook Comments

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่

This site uses Akismet to reduce spam. Learn how your comment data is processed.