เปิดบ้าน “วีรวรรณ” ความรัก ความสุขตลอด 20 ปี

0
1077

เรียกว่าเป็นอีกหนึ่งครอบครัวที่มีความรักและความอบอุ่นให้กันอยู่เสมอ สำหรับครอบครัว “วีรวรรณ” นำโดยคุณพ่อคุณแม่สุดน่ารัก คุณบอย-ถกลเกียรติ และ คุณปริม-กณิการ์ รวมถึงลูกสาวคนสวยทั้งสอง น้องปราง-ปรางสินี และน้องปาว-ปวรดา วีรวรรณ

นับเป็นเกียรติสำหรับนิตยสาร HOWE อย่างยิ่ง ที่วันนี้ครอบครัว “วีรวรรณ” ให้เกียรติมานั่งพูดคุยถึงเรื่องราวความรักของครอบครัว ซึ่งคุณบอยบอกเล่าให้ฟังถึงความรักระหว่างตนเองกับคุณปริม-กณิการ์ ว่าปีนี้ถือเป็นปีที่ 20 แล้ว หลังจากที่ตัดสินใจสร้างครอบครัวด้วยกัน “ผมว่าการมีครอบครัวเป็นสิ่งที่ดี และก็มีเรื่องสนุก มีหลายรสชาติให้เราสัมผัส ซึ่งถือเป็นเรื่องปกติของการใช้ชีวิตคู่ด้วยกัน”

ละครเวที จุดประกายความรัก
เมื่อเล่าย้อนความหลังของทั้งคู่ คุณปริมบอกว่าทั้งเธอและคุณบอยนั้นต่างไม่รู้จักกันมาก่อน “ปริมรู้จักกับ
พี่บอยในฐานะที่เขาเป็นผู้บริหาร ขณะที่ปริมเป็นพนักงานในบริษัท และเราก็ทรีตเขาเป็นผู้บริหารคนหนึ่งค่ะ” เช่นเดียวกับที่คุณบอยเสริมว่า เขาเจอคุณปริมครั้งแรกตอนที่เธออยู่หน้าห้องของคุณไพบูลย์ ดำรงชัยธรรม “ตอนนั้นปริมเป็นเลขาของคุณไพบูลย์ ดำรงชัยธรรม แล้วผมก็ต้องขึ้นไปประชุมกับคุณไพบูลย์” ทำให้ทั้งคู่ได้มีโอกาสเจอกัน แต่นั่นก็ยังไม่ใช่สิ่งที่จะทำให้ทั้งคู่เกิดความรู้สึกดีๆ ต่อกัน จนกระทั่งมีเหตุการณ์เซอร์ไพรส์บางอย่างเข้ามา

ส่วนหนึ่งที่ทำให้คุณบอยและคุณปริมได้มีโอกาสทำความรู้จักกันมากขึ้น น่าจะมาจากความเหมือนที่ทั้งสองมีคล้ายๆ กัน “เราอาจจะมีความแตกต่างกัน แต่ก็มีความเหมือนที่คล้าย ๆ กันเยอะเช่นกัน โดยเฉพาะเรื่องกินที่เราทั้งคู่ชอบกินอะไรคล้าย ๆ กัน และชอบที่จะออกไปกินนู่นกินนี่นอกบ้าน หรือแม้แต่ตอนไปต่างประเทศ ผมชอบไปดูละครเวที ปริมก็ชอบดูเหมือนกัน แต่อาจจะไม่ได้บ้าคลั่งเหมือนผม อย่างตอนที่ไปนิวยอร์ก ผมไปดูละครเวที 10 เรื่อง ปริมก็จะดูประมาณ 3 เรื่อง” คุณบอยเล่า

“ตั้งแต่ก่อนที่เราจะแต่งงานกัน ปริมเป็นคนที่ชอบดูละครเวทีอยู่แล้ว” คุณปริมเล่าย้อนความหลัง และละคร
เวทีก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้พี่บอยเริ่มสนใจในตัวเธอ “คุณบอยเคยบอกว่าสะดุดตากับเรา ส่วนหนึ่งมาจากละครเวทีนี่ล่ะ เพราะเราไปบอกเขาว่ากำลังมีนักแสดงที่เขาชอบมาเล่นคอนเสิร์ตที่สิ่งคโปร์ เลยถามว่าเขารู้เรื่องนี้ไหม แต่เขาก็ทำแบบว่า เอ๊ะ! ทำไมเรารู้จักนักแสดงคนนี้ด้วย”

คุณบอยเล่าว่าที่ทำท่าเอะใจแบบนั้น เพราะดาราคนดังกล่าวไม่ใช่ดาราทั่วไป แต่เป็นดาราที่เล่นละครเวที
“ผมก็นึกในใจ ทำไมถึงรู้จัก ก็เลยรู้สึกแอบเซอร์ไพรส์กับเขาเหมือนกัน ตอนนั้นยังไม่ได้จีบกันเลย แค่รู้สึกว่าปริมดูละครเวทีด้วยหรือ เพราะละครเวทีจะมีคนดูน้อย และเราก็เป็นคนที่ดูละครเวทีเยอะกว่าเขา เยอะแบบเกินปกติทั่วไป แต่ในอีกมุมก็รู้สึกโอเคนะว่าน่าจะไปด้วยกันได้” อีกหนึ่งความเหมือนของคนทั้งคู่ ที่นำพาให้ความรู้สึกดีๆ มีให้กันมากขึ้นคือการดำน้ำ “ปริมเป็นคนที่ชอบดำน้ำอยู่แล้ว และผมก็ไปเรียนดำน้ำ ฝึกดำน้ำด้วย แต่ผมจะดำน้ำประมาณ 20% ส่วนปริมจะเต็ม 100% เพราะเขาชอบการผจญภัยใต้น้ำ” และนั่นก็เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ทั้งคู่เริ่มรู้จักกันมากขึ้น จนได้มาใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันเมื่อ 20 ปีที่แล้ว

GIVE AND TAKE
ตลอดระยะเวลา 20 ปีที่ผ่านมา คุณปริมยอมรับว่าการใช้ชีวิตคู่ของคนสองคนย่อมต้องมีอุปสรรค และปัญหาเกิดขึ้นอยู่แล้ว “ถ้าไม่มีนี่สิอาจเป็นเรื่องแปลก ซึ่งทุกครั้งที่มีความไม่เข้าใจกัน คุณบอยก็มักจะบอกให้เรานึกถึง At The End ว่ายังอยากอยู่ด้วยกันหรือเปล่า ถ้าสุดท้ายปลายทางคือยังอยากอยู่ด้วยกัน เราก็ต้องหาทางแก้ไขและประคับประคองยอมรับกันเพื่อที่จะให้เราทั้งคู่ไปสู่จุดนั้นให้ได้” ขณะที่คุณบอยย้ำว่า “ถ้าอยู่ด้วยกันแล้วดีกว่าไม่อยู่ด้วยกัน ก็ต้องหาทางปรับเปลี่ยนหรือยอมรับ เพราะนี่คือหัวใจของ Give and Take”

คุณปริมบอกด้วยว่า นี่อาจไม่ใช่เคล็ดลับของการใช้ชีวิตคู่ แต่เรียกว่าเป็นพื้นฐานของการใช้ชีวิตคู่มากกว่า “ปัญหาอาจมีทั้งเล็กและใหญ่ ทำให้อาจมีความขัดแย้ง และการใช้อารมณ์เข้าหากัน เราเป็นมนุษย์ปุถุชน ไม่ได้ตัดทุกสิ่งทุกอย่างได้ ตอนที่อาละวาดบ้านแตกก็มีเหมือนกัน ถ้าบ้านไหนไม่มีคือชีวิตอาจจืดไปนิดนะคะ (หัวเราะ)”

“ลูก” หน้าที่หลักการเลี้ยงดูแล
เรื่องของลูก ก็เป็นอีกหนึ่งหัวข้อสำคัญที่ถูกถามทั้งสองท่าน ซึ่งคุณปริมอธิบายว่าการเลี้ยงลูกเป็นหน้าที่หลักของเธอ “เพราะปริมไม่ได้ทำงานฟูลไทม์แล้ว งานหลักของปริมเลยเป็นการเลี้ยงลูกมากกว่า และหากเราเลี้ยงลูกและทำให้เกิดความผิดพลาด ก็จะรู้สึกว่าเราทำหน้าที่ของเราไม่สำเร็จ ยิ่งใครมาบอกว่าลูกไม่มีความสุข เราก็จะรู้สึกผิดพลาดมาก ซึ่งการเลี้ยงลูกยากตรงที่ไม่มีอะไรเป็นตัวชี้วัด และไม่ได้หมายความว่าลูกสอบได้เกรดดีคือเราเลี้ยงลูกสำเร็จ เพราะในความคิดของปริม สิ่งที่บอกว่าเราสำเร็จหรือไม่นั้นอยู่ที่การ
ทำให้ลูกมีความสุข เป็นคนที่มีความรับผิดชอบ รู้จักคิดตัดสินใจในสิ่งที่ถูกที่ควร ซึ่งทั้งหมดนี้ไม่มีมาตราวัดได้เลย” คุณปริมบอกด้วยว่า นี่เป็นอีกหน้าที่ที่เธอต้องทำให้ดีที่สุด และทำให้ชีวิตของเธอเปลี่ยนไป ซึ่งเธอยังยอมรับด้วยว่าวันนี้ลูกสาวของเธอได้ดั่งใจที่เธอตั้งใจไว้ทุกอย่าง

ขณะที่คุณบอยบอกว่า วันนี้เขาและภรรยาได้ปูพื้นฐานของลูกๆ มาเป็นอย่างดีแล้ว “ผมว่าลูก ๆ รู้ผิดชอบชั่วดีโดยหลักการ แต่อาจจะมีเล็กๆ น้อย ๆ บ้างที่เป็นปกติของคนที่เป็นวัยรุ่น แต่เวลาที่เราเลี้ยงดูพวกเขา เราก็จะเปิดกว้าง และไม่ต้องคอยบอกว่าต้องทำอะไร แค่เราคุยแล้วถามว่าเพราะอะไร ขณะที่เราเองอยากรู้ว่าโลกเปลี่ยนไปอย่างไรบ้าง ในเวลาเดียวกัน เราก็ต้องทำให้ลูกๆ อยู่ได้ในสังคม โดยยึดหลักการเป็นคนคิดดีทำดี มีความรับผิดชอบ เขาต้องยึดมั่นและต้องอยู่รอด ขณะที่ต้องรู้ทันโลกด้วยเช่นกันรวมถึงต้องรู้ว่าหลักการของการใช้ชีวิตที่ดีมีคุณธรรมเป็นอย่างไร”

“ลูก” กับการพิสูจน์ผลงาน
เมื่อถามถึงลูกสาวทั้งสองคนว่ามีความสนใจในวงการบันเทิงหรือไม่ คุณบอยยอมรับว่าทั้งน้องปรางและน้องปาว ต่างสนใจในวงการนี้ “คนเล็ก (น้องปาว) ก็จะมีความชอบมากกว่าคนพี่ โดยเฉพาะงานเบื้องหน้า เช่นเดียวกับน้องปราง ที่แม้จะมีความชอบเบื้องหน้าเหมือนกัน แต่ผมก็มีความรู้สึกว่าเขาอยากเรียนรู้การทำงานเบื้องหลังมากกว่า อย่างฝ่ายธุรกิจ ซึ่งผมก็คิดว่าดีนะ” เมื่อรู้ว่าลูก ๆ ชอบงานทางด้านนี้ คุณพ่อบอยก็ย่อมให้การสนับสนุนแน่นอน แต่สิ่งหนึ่งที่คุณบอยคิดเสมอ คือ ต้องไม่ใช่การสนับสนุนที่ทำร้ายลูกๆ แต่ต้องให้เป็นไปตามเนื้อผ้า ตามศักยภาพที่เขามี

“การขึ้นมาอยู่ในจุดที่มีสปอร์ตไลต์ อาจมีคนพูดว่าเพราะเป็นลูกคุณบอย-ถกลเกียรติ ก็น่าจะมีบ้างเหมือนกัน เราไม่สามารถห้ามคนอื่นไม่ให้คิดได้ แต่สุดท้ายผลงานจะเป็นตัวพิสูจน์ทุกอย่าง วิธีการทำงานต้องพิสูจน์กับคนที่ทำงานด้วย ไม่ใช่ว่าเพราะเป็นลูกของใคร แต่ต้องได้มาเพราะศักยภาพของเขา และความมั่นใจของเขาด้วย”

คุณปริมเล่าว่า ลูก ๆ ทั้งสองคนไม่เคยได้รับสิทธิพิเศษกว่าใคร “ลูกๆ ก็ต้องไปออดิชัน ไปแคสติ้งเหมือนกับทุกคน พอไปแคสแล้วไม่ได้ กลับมาบ้านร้องไห้ก็มี ในทางกลับกัน จะว่าไปแล้วเด็กๆ ก็อาจเรียกว่าเสียเปรียบคนอื่นด้วยซ้ำ ขณะที่คนอื่นๆ เขาสามารถไปได้ทุกค่าย แต่สำหรับลูกทั้งสองเขาทำแบบนั้นไม่ได้ ทำให้กลายเป็นว่าเขามีโอกาสน้อยกว่าคนอื่นนอกจากนี้ หากเขาได้มีโอกาสเข้าไปอยู่ในกองถ่าย เขาก็ต้องพิสูจน์ตัวเอง เขาไม่ได้มีอภิสิทธิ์มากกว่าคนอื่นเลย ยิ่งอยู่ในกอง ก็ยิ่งต้องทำตัวเป็นแบบอย่างที่ดี เรียกง่ายๆ ว่าต้องระวังตัวมากกว่าคนอื่นๆ เพราะว่าทุกคนก็จะเพ่งเล็งอยู่”

ความหมายของ “ครอบครัว”
สำหรับความหมายของคำว่า “ครอบครัว” คุณปริมอธิบายว่าครอบครัวก็ต้องมีพ่อแม่ลูก รวมถึงยังมีพ่อของพ่อ แม่ของพ่อ พ่อของแม่ แม่ของแม่ หรือปู่ย่า ตายาย ลุงป้า น้าอา ด้วย “เพราะครอบครัวของเราค่อนข้างเป็นครอบครัวใหญ่ เวลาไปไหนเราก็จะเจอกันอยู่เป็นประจำ ปริมยังคิดด้วยว่าทั้งปรางและปาวโชคดีมากที่เกิดมามีคุณปู่คุณย่า คุณตาคุณยายอยู่ครบ ทำให้เขาได้รับความรักจากทุกๆ คน ซึ่งทุกวันนี้จะเห็นพวกเขางุ้งงิ้งอยู่กับคุณปู่คุณย่า คุณตาคุณยาย สำหรับปริมแล้วคนไทย โดยเฉพาะเด็กผู้หญิงก็ยังต้องมีคาแรกเตอร์ของความเป็นไทยอยู่เสมอค่ะ”

“ส่วนผมไม่ได้สอนลูกให้หงอนะ แต่จะสอนให้เขาทันคน และสู้คน ขณะเดียวกัน ก็ยืนหยัดในสิ่งที่ถูกต้องและเป็นตัวตนของเขาเอง เพราะท้ายที่สุดแล้วอย่างที่บอก เราไม่ได้อยู่กับลูกๆ ไปตลอดชีวิต เขาต้องอยู่ได้โดยที่ไม่มีเรา ผมจะมาประคบประหงมหรือโอ๋กันอยู่ตลอดเวลาไม้ได้” คุณบอยเล่าถึงวิธีการสอนลูกในแบบฉบับของคุณพ่อ

สำหรับวิธีการสอนลูกของคุณแม่ปริมแล้ว จะดูแตกต่างไปจากคุณพ่อ “เราจะฝึกเขามากกว่า อย่างเวลาที่เขาอยากกินอาหารร้านนี้ ปริมก็จะบอกเขาให้โทรจองเอง เพื่อให้เขากล้าที่จะพูด และรู้รายละเอียดที่เขาต้องคิดว่ามีอะไรบ้าง แรก ๆ เขาก็อาจพูดตกหล่น ลืมนู่นลืมนี่ แต่พอทำไปเรื่อยๆ ก็จะทำให้ระบบความคิดของเขาลำดับความสำคัญได้เองค่ะ” ส่วนนิสัยของลูก ๆ คุณปริมบอกว่า ปาว ลูกสาวคนเล็กนั้นถอดแบบพ่อมาเลย “ทั้งบุคลิกและนิสัยจะค่อนข้างไปทางพี่บอย ชอบอะไรเหมือนๆ กัน ทั้งดนตรี เพลง ละคร ส่วน ปราง ก็จะมาทางปริมมากกว่า การแต่งตัวก็จะชอบอะไรเหมือนเรา ตอนนี้ปรางจะ 18 แล้ว ส่วนปาวปลายปีนี้ 17 แล้วค่ะ เขาห่างกันปีนิดๆ”

ปราง-ปาว กับบทพิสูจน์ตัวเอง
หลังจากที่พูดคุยกับคุณพ่อบอยและคุณแม่ปริมไปแล้ว ก็ต้องมาพูดคุยกับน้องปราง และน้องปาวกันสักหน่อย ซึ่งเมื่อถามว่าทั้งสองคนเกรงใจใครมากกว่ากัน โดยทั้งปรางและปาวตอบเป็นเสียงเดียวกันว่าคุณแม่ “ปรางว่าแม่จะดุเรื่องทั่วไป จะเข้มงวดในเรื่องระเบียบและวินัย ส่วนพ่อจะเป็นเรื่องใหญ่ๆ จะไม่ดุเหมือนคุณแม่ แต่จะสอนเรื่องการใช้ชีวิตและการทำงานค่ะ”

ปาวและปรางเล่าว่า ยิ่งวันนี้ทั้งสองคนเข้ามาทำงานในวงการบันเทิงด้วย คุณพ่อและคุณแม่ก็จะมีความห่วงเป็นพิเศษ “อย่างเรื่องการเรียน แม่ก็จะบอกว่าให้ทำการบ้านให้เสร็จ รับผิดชอบหน้าที่ตัวเองให้เรียบร้อย เพราะหน้าที่หลักของเราคือการเรียน และให้เรารับผิดชอบในสิ่งที่เราเลือกที่จะทำให้เต็มที่ด้วย” หรือแม้แต่การวางตัว ก็เป็นสิ่งที่คุณพ่อและคุณแม่ของทั้งสองเน้นย้ำอยู่เสมอ “เพราะอาจจะมีคนมองเราอยู่ โดยเฉพาะในโลกโซเขียล ต้องระวังให้มากที่สุด ถ้าเราทำอะไรลงไป เราอาจจะลบได้ แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าเรื่องนั้นจะหายไป ทำให้เวลาจะลงรูปหรือโพสต์อะไรก็จะต้องคิดเยอะหน่อย”

วาดชีวิตของตัวเอง
ถามไถ่ถึงการวางแผนในอนาคตกันบ้าง ซึ่งทั้งสองก็วางแผนชีวิตเอาไว้บ้างแล้ว “ปรางยังดูอยู่ค่ะ อาจจะไปในส่วนของธุรกิจมากกว่างานโปรดักซันส์ ปรางกำลังจะเรียนเศรษฐศาสตร์ แต่ก็คงกลับมาอยู่กับพ่อค่ะ ส่วนงานเบื้องหน้า งานแสดงก็ยังรับอยู่ค่ะ” ส่วนของปาวเธอเล่าว่าไปทางโปรดักชันส์เต็มตัว แต่ยังไม่รู้ว่าจะอยู่เบื้องหน้าหรือเบื้องหลัง “ปาวไม่ชอบเลข ตอนแรกปาวขึ้น ม.4 ป่าวบอกแม่ว่าปาวจะเรียนศิลป์เยอรมัน”

ปาวเล่าต่อด้วยว่า ตอนนั้นอาจารย์ก็แนะนำคุณแม่กลับมาว่าอยากให้เธอเรียนศิลป์คำนวณ “เพราะจะมีทางเลือกที่หลากหลาย และพี่ปรางอยู่ศิลป์คำนวณด้วยตอนนั้น แม่ก็บอกกับปาวให้เลือกศิลป์คำนวณก็ได้นะ ก็เลยตัดสินใจมาเรียนศิลป์คำนวณในที่สุด แต่ความคิดที่ไม่ชอบเลขก็ยังไม่หายไปไหนนะคะ และปาวจะมุ่งไปทางนิเทศศาสตร์ เพราะชอบเรื่องเขียนบทมาก วิชาหลักๆ ก็จะเกี่ยวกับเขียนบท ถ้ามีโอกาสก็จะไปลงคอร์สแอ็กติ้ง หรือคอร์สผู้กำกับด้วยค่ะ”

นี่เป็นเรื่องราวเพียงส่วนหนึ่งของครอบครัว “วีรวรรณ” ที่เชื่อว่าน่าจะเป็นแรงบันดาลใจให้กับหลายๆ ครอบครัวในการดูแลลูกๆ และสมาชิกครอบครัวอย่างมีความสุข และความอบอุ่นตลอดไป

Facebook Comments

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่

This site uses Akismet to reduce spam. Learn how your comment data is processed.