เรียกว่ามีประสบการณ์ในแวดวงธุรกิจด้านอาหารและเครื่องดื่มมาอย่างยาวนาน ก่อนได้รับมอบหมาย ภารกิจใหม่ในการเข้ามาบริหารงานให้กับแบรนด์ เดอะ คอฟฟี่คลับ ที่มีโจทย์ท้าทายในการพลิกยอดขายเพื่อสร้างการเติบโตหลังจากช่วงวิกฤตโควิด-19 ที่ผ่านมา นงชนก สถานานนท์ ผู้จัดการทั่วไปของ เดอะ คอฟฟี่ คลับ แบรนด์ร้านออลเดย์ไดนิ่งจากออสเตรเลีย ที่มีจุดเด่น อยู่ที่การให้บริการครบครันทั้งเมนูอาหารที่หลากหลาย โดยเฉพาะอาหารเช้าที่ทานได้ตลอดทั้งวัน รวมถึงเครื่องดื่มคุณภาพ อย่างกาแฟคุณภาพที่ได้รับรางวัลการันตีระดับโลกในเครือไมเนอร์ ฟู้ด กรุ๊ป กล่าวว่า “ได้รับมอบหมายให้เข้ามาบริหาร และดูแลภาพรวมธุรกิจร้าน เดอะ คอฟฟี่ คลับ ตั้งแต่ช่วงปลายปี 2021 จากประสบการณ์ทำงานที่ผ่านมาจากแบรนด์ต่างๆ ในเครือไมเนอร์ที่มุ่งเน้นไปที่การสร้างการรับรู้ รวมถึงขยายฐานลูกค้า ผสานกับความเชี่ยวชาญด้านมาร์เก็ตติ้งที่มีอยู่ ก็ได้นำสิ่งเหล่านี้มาต่อยอดเพื่อสร้างความแข็งแกร่งให้กับแบรนด์มากขึ้น ถือเป็นอีกหนึ่งความท้าทาย และเป็นประสบการณ์ใหม่ที่ต้องเรียนรู้ ไปพร้อมๆ กับทีมอยู่ตลอดเวลา ส่วนตัวรู้สึกชอบ เพราะทำให้เราได้เรียนรู้ในทุกจุดของธุรกิจที่เราทำ”
“เราเป็นแบรนด์ร้านอาหาร ดังนั้นหัวใจสำคัญอันดับแรกๆ คือต้องเน้นที่คุณภาพของวัตถุดิบ เราใส่ใจในการคัดสรรวัตถุดิบที่มีคุณภาพและมีความหลากหลายมาให้บริการ โดยที่ผ่านมาได้มีการปรับเมนูจากเดิมที่มีกว่า 80 – 90 เมนู ให้เหลือเพียง 40 – 50 เมนูเท่านั้น ส่วนใหญ่เป็นเมนูเด่นๆ ที่ลูกค้าชื่นชอบ นอกจากจะตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าได้ตรงจุดมากขึ้นแล้ว ยังช่วยให้พนักงานทำงานได้ง่ายขึ้น และยังเป็นการให้พนักงานได้เรียนรู้และฝึกฝน การทำเมนูเหล่านี้ให้ออกมามีคุณภาพ และมีความสม่ำเสมอ ในทุกๆ จานที่เสิร์ฟ ซึ่งเป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์ในการสร้างแบรนด์ที่ไม่ควรมองข้าม”
“ในขณะที่การสร้างแบรนด์ เดอะ คอฟฟี่ คลับ ให้เป็นที่รู้จักมากขึ้น เราไม่ได้เน้นการใช้งบประมาณในการซื้อโฆษณาสูง แต่มุ่งเน้นไปที่การประชาสัมพันธ์ให้ได้สัมผัสถึงประสบการณ์แบบจริงๆ มากกว่า เพราะอาหารและเครื่องดื่ม หากแค่ให้คนเห็น ไม่สามารถการันตีได้ว่าลูกค้าจะมาใช้บริการกับเรา เพราะว่าลูกค้าไม่ได้สัมผัสรสชาติของอาหารและเครื่องดื่มแบบแท้จริงว่าเป็นอย่างไร ดังนั้นเราจึงเน้นไปที่การให้ลูกค้าได้ลองก่อน เริ่มต้นจากการสมัครสมาชิกซึ่งตรงนี้ไม่มีค่าใช้จ่าย แค่ลูกค้าหากมาที่ร้านและสมัครสมาชิกผ่านแอปพลิเคชัน ก็จะได้รับเครื่องดื่มอย่างน้อย 1 แก้วให้ได้ไปทดลองดื่มค่ะ” ผู้บริหารสาวกล่าว
“การที่ให้ลูกค้าได้มีโอกาสลองชิมอาหารหรือเครื่องดื่มฟรี เป็นการลงทุนอย่างหนึ่งของแบรนด์ที่ตรงเป้าหมาย เพราะทำให้ลูกค้าได้สัมผัสประสบการณ์ในการรับประทานจริงๆ จากแบรนด์ และสามารถเลือกตัดสินใจที่จะมาใช้บริการซ้ำหรือไม่”
“นอกจากนี้การโหลดแอปพลิเคชันเพื่อเป็นสมาชิก ยังหมายถึงการที่ลูกค้าให้ความไว้ใจแบรนด์เรามากๆ เหมือนกัน เพราะลูกค้าต้องใส่รายละเอียดต่างๆ เกี่ยวกับ ตัวของลูกค้า แต่ก็มาพร้อมความคุ้มค่าที่เรามอบให้ คือสิทธิพิเศษ รวมถึงโปรโมชันดีๆ ที่จะได้รับเป็นกลุ่มแรก ยังรวมถึงการสะสมคะแนนเพื่อใช้แลกซื้อหรือรับของพรีเมียม ตลอดจนแลกรับเป็นเมนูอาหารและเครื่องดื่มของร้านก็ได้เช่นเดียวกัน”
“จากกลยุทธ์ที่เราทำตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ทำให้ปัจจุบันแบรนด์มีสัดส่วนของลูกค้าที่เป็นคนไทยเพิ่มขึ้น จากเดิม 20% มาเป็น 40% หรือเกือบเท่าหนึ่ง ขณะที่ จำนวนสมาชิกจากเดิมที่มีแค่ 20,000 กว่าคนในปี 2021 วันนี้ในปี 2024 ก็ขยับขึ้นมาอยู่ที่ 200,000 คน เรามุ่งเน้นไปที่การบริการทั้งคุณภาพของอาหารและเครื่องดื่ม โดยเฉพาะกาแฟที่เป็นอีกหนึ่งซิกเนเจอร์ของเรา โดยเมล็ดกาแฟของเราที่ให้บริการมี 2 ชนิดด้วยกัน คือ เมล็ดกาแฟซิกเนเจอร์เบลนด์ที่นำเข้าจากออสเตรเลีย ที่ถูกคั่วในโรงคั่วที่เมลเบิร์น ออสเตรเลีย ซึ่งได้รางวัล Golden Bean Awards หนึ่งในเวทีการประกวดกาแฟที่ใหญ่ที่สุดในระดับนานาชาติ และเมล็ดกาแฟสยาม เบลนด์ ที่เป็นผลผลิตจากจังหวัดทางภาคเหนือของไทย คู่ไปกับกลยุทธ์ที่ให้พนักงานที่ร้านคอยแนะนำเมนู อาหารและเครื่องดื่มกับลูกค้า ที่มองว่าเป็นอีกหนึ่งการสื่อสารสำคัญที่ช่วยเสริมสร้างความผูกพันระหว่าง ลูกค้ากับแบรนด์ที่มากขึ้น” ทำให้วันนี้สาขาของเดอะ คอฟฟี่ คลับ ภายใต้การบริหารของผู้บริหารสาวคนนี้ มีกว่า 40 สาขาทั่วประเทศ เช่นเดียวกับนโยบาย Sustainability
“ในปี 2023 เราได้เริ่มต้นในเรื่อง Animal Welfare ซึ่งเราเลือกใช้ไข่ไก่จากแหล่งผลิตที่ไม่ใช้กรงขัง (Cage free egg) มาประกอบการทำเมนูอาหารเช้า รวมถึงการใช้ Plant Base Meat มาเป็นส่วนหนึ่งของการประกอบอาหาร ทางเลือก มีการใช้นมที่มาจากพืช หรือ Plant Base Milk เช่น นมโอ๊ต นมถั่วเหลือง นมอัลมอนด์ หรือ นมจากมะพร้าวในเมนูเครื่องดื่มให้ลูกค้าได้เลือกด้วย มีการใช้ Edible Cup แก้วกาแฟที่ทำจากคุ้กกี้ ซึ่ง สามารถรับประทานได้ไปพร้อมการดื่มกาแฟ รวมถึง เปลี่ยนมาใช้ฝาเครื่องดื่มที่สามารถยกดื่มได้เพื่อ ลดการใช้หลอด เป็นต้น”
สุดท้ายเป้าหมายในการทำงานของผู้บริหาร สาวคนนี้ไม่ใช่มองแค่ความสำเร็จที่เกิดจากยอดขาย และกำไรในธุรกิจเท่านั้น “แน่นอนว่าทุกภาคส่วนที่มีความเกี่ยวข้องกับเดอะ คอฟฟี่ คลับ ไม่ว่าจะเป็นพนักงาน คู่ค้า ซัพพลายเออร์ ควบคู่ไปกับการให้ความสำคัญทั้งด้านสังคมและสิ่งแวดล้อม ทั้งหมดเหล่านี้ต้องสามารถก้าวเดินไปข้างหน้า เพื่อสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนไปพร้อมๆ กันค่ะ” คุณนงชนก สถานานนท์ ผู้จัดการทั่วไปของเดอะ คอฟฟี่คลับ กล่าวทิ้งท้าย