เชฟอาร์ หรือ ธีรภัทร ตียาสุนทรานนท์ เชฟผู้มากความสามารถ ในฐานะเชฟแถวหน้าของเมืองไทย ทั้งการได้เป็นเชฟกระทะเหล็กประเทศไทย การเป็นนักธุรกิจเจ้าของร้านอาหาร “Rare Cuisine” และธุรกิจเครื่องปรุงรสที่ประสบความสำเร็จ เป็นที่ปรึกษาร้านอาหาร เป็นโค้ชเชฟทีมชาติไทย รวมทั้งยังเป็นนักกีฬาเพาะกายทีมชาติ ซึ่งเชฟอาร์บอกกับเราว่า เขาเป็นคนที่ตั้งใจและมุ่งมั่น หากทำอะไรแล้วต้องสุด การที่เขามาเป็นนักกีฬาเพาะกาย เพื่อเป็นแรงบันดาลใจให้เชฟทุกคนได้เห็นว่าการเป็นเชฟก็มีสุขภาพและรูปร่างที่ดีได้
“ทุกวันนี้ผมทำงานฟรีแลนซ์ โดยเป็นที่ปรึกษาให้กับโรงงานในส่วนของ R&D กับหลายแบรนด์ ทั้งเครื่องแกงไทย ผงปรุงรส รวมทั้งเป็นที่ปรึกษาของโรงแรมและร้านอาหาร ทั้งเซตอัประบบ SAP เซตอัปเมนู รับผิดชอบเรื่องทรัพยากรบุคคล รับทำเมนูพิเศษให้กับหลายแบรนด์ รับคิดเมนูพิเศษเป็นซีซันก็มี อย่างร้าน La Brace ก็มีการคอลแลปส์กับผม นอกจากร้านอาหารผมยังมีผลงานกับบริษัท เฮลิโคเนีย เอช กรุ๊ป จำกัด ที่เป็นเจ้าของลิขสิทธิ์รายการ Iron Chef Thailand และ Master Chef Thailand รวมถึงเป็นโค้ชเชฟทีมชาติไทย ซึ่งจะส่งตัวแทนไปแข่งในระดับโลก ภายใต้สังกัดของ Thailand Culinary Academy และในส่วนของธุรกิจส่วนตัวก็มีร้านอาหารแบบ Private ชื่อ Rare Cuisine ซึ่งเป็นร้านอาหารสไตล์ฝรั่งเศสแท้ที่ต้องโทร.มาจองโต๊ะก่อน ไม่มีแบบ Walk in มีธุรกิจ Seasoning Powder ซึ่งมีผงปรุงรสในแบรนด์ตัวเองที่จำหน่ายรูปแบบ OEM และนอกเหนือจากการทำงานและธุรกิจเกี่ยวกับอาหารแล้ว ผมยังเป็นนักกีฬาเพาะกาย ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการสร้าง Ranking โดยจะเริ่มต้นที่เวที Mister Thailand ในปีหน้า และผมอยู่ในรุ่น Model Sportific ส่วนสูง 175 เซนติเมตรขึ้นไปครับ”
“การที่ผมเป็นนักกีฬาเพาะกายกับการเป็นเชฟ หลายคนอาจจะมองว่าเป็นเรื่องย้อนแย้ง ระหว่างการกินกับการออกกำลังกาย ผมอยากพิสูจน์ว่าคนเป็นเชฟก็รูปร่างดีได้ การที่เรารูปร่างดีก็ช่วยทำให้บุคลิกดีขึ้น สุขภาพดีขึ้น อาชีพที่อยู่กับของกิน ชอบกินของอร่อยก็รูปร่างดีได้ เมื่อก่อนผมน้ำหนัก 110 กิโลกรัม จน 3 ปีที่ผมตั้งใจออกกำลังกายและได้รูปร่างใหม่มา ต้องยอมรับว่าไลฟ์สไตล์เชฟส่วนใหญ่ก็คือกินข้าววันละมื้อ ยืนทำงานวันละกว่า 10 ชั่วโมง After Work ก็กินเหล้ากินเบียร์กันเกือบทุกวัน ระบบเผาผลาญพัง ซึ่งตอนน้ำหนัก 110 กิโลกรัม ทำงานอยู่ที่ Water Library ตอนนั้นเริ่มปวดเท้า ปวดหลังนิดๆ ก็กลัวยืนทำงานไม่ได้ เลยเริ่มคุมอาหาร จนมาเจอช่วงโควิดก็พลิกวิกฤตให้เป็นโอกาส สร้างแรงบันดาลใจจากรูปผู้ชายรูปร่างดีๆ ในอินเทอร์เน็ต แล้วถามโค้ชว่า อยากได้รูปร่างแบบนี้ทำให้ได้ไหม เขาบอกถ้าจริงจังก็ 8 เดือน หลังจากนั้นก็เข้าฟิตเนสทุกวัน วันละ 2 รอบ รอบละ 2 ชั่วโมง ทานอาหาร 3 มื้อแบบตรงเวลา ตั้งระบบเผาผลาญใหม่ เซตอัประบบร่างกายใหม่หมด จากน้ำหนัก 110 เหลือ 88 กิโลกรัม ก็ได้รูปร่างที่ลีนๆ แบบมีกล้ามมา ซึ่งผมเป็นคนโชคดีที่มีกล้ามเนื้อง่าย ร่างกายเหมือนนักกีฬา ซึ่งแต่ละคนก็ไม่เหมือนกัน พอดีกล้ามผมมันใหญ่ง่าย ก็ประกวดเลยแล้วกัน ประกวดมาเรื่อยๆ เพิ่งติดทีมชาติครั้งแรกก็ต้องรอคัดตัว ผมก็เต็มที่กับมันเพราะอยากสร้าง Reference ให้กับตัวเอง”
“ผมเองมี Passion ที่อยากเปลี่ยนรูปร่างเชฟในเมืองไทยให้ดีขึ้น มีสุขภาพดีขึ้น เพื่ออายุการทำงานที่ยาวขึ้น ไม่ใช่อายุ 45 ปี 50 ปี ก็ต้องเลิกทำงานไปรักษาเบาหวาน ไตวาย ผมให้ความสำคัญกับเรื่องนี้เพราะผมเป็นบอร์ดบริหารสมาคมเชฟที่อายุน้อยที่สุด และคนที่อยู่รอบข้างก็เป็นแบบนี้แทบทั้งนั้น ฉะนั้นเมื่อเราเห็นอนาคตแล้วว่าทุกคนเป็น เราก็ต้องใส่ใจตัวเองให้มากขึ้น ซึ่งผมบอกเลยว่าตอนเริ่มต้นไม่ใช่เรื่องง่าย พอผ่าน 7 – 8 เดือนไปแล้ว เราได้ร่างที่ต้องการแล้ว ก็แค่รักษามันไว้ เลี่ยงน้ำตาลกับน้ำมันเอาไว้ อย่ากินแล้วนอน คุมแคลต่อวันให้ได้ อยากสังสรรค์ อยากดื่มก็ได้บ้าง ดูแลแต่ไม่ต้องถึงกับกดดันตัวเอง”
“ผมเป็นคนมีวินัยสูง รับผิดชอบต่อสิ่งที่ต้องทำ เพราะกลัวส่งผลกระทบกับคนอื่น ชอบ Challenge ตัวเอง จะทำอะไรก็ต้องเต็มที่ ที่ผมมีวันนี้ได้ส่วนหนึ่งผมว่ามาจากความตั้งใจ และไม่เคยหยุดพัฒนาตัวเอง วงการอาหารบ้านเราปัจจุบันนี้ผมถือว่าเติบโตมากขึ้น และในส่วนของแวดวงการศึกษา เด็กๆ ก็ให้ความสนใจอยากเรียนเชฟ เพราะรู้สึกว่าเป็นอาชีพที่เท่ แต่สุดท้ายก็มีคนเข้ามาสู่ธุรกิจร้านอาหารทั้งเป็นเชฟและทำร้านตัวเองไม่เกิน 30% ทำให้อาชีพนี้ยังเป็นที่ต้องการของตลาด เชฟต่างชาติวันนี้ก็อยู่ยาก เมื่อก่อนโรงแรม ร้านอาหาร หัวหน้าเชฟจะมาจากไหนก็ได้แต่ต้องเป็นฝรั่ง เดี๋ยวนี้เชฟคนไทยได้การยอมรับมากขึ้น Standard ทั้งฝีมือเชฟ และรสชาติอาหารก็พัฒนาดีขึ้นเรื่อยๆ บางคนได้มิชลิน ไกด์ บางคนได้การยอมรับในเรื่องรสชาติ เชฟต่างชาติมีอะไรเราก็มีหมด บางคนเหนือกว่าด้วยซ้ำ ผมมองว่าวงการอาหารและเชฟบ้านเราจะดีขึ้นเรื่อยๆ อย่างแน่นอน”
“นอกจากนี้ ผมได้หันมาสนใจทำธุรกิจซอสสำเร็จรูป และ Seasoning Powder ซึ่งจะมีหลากหลายผลิตภัณฑ์ ทั้งอาหารไทยและอาหารฝรั่ง โดยผมมองว่าตลาดร้านอาหารบ้านเราโตขึ้นทุกปี การหาตัวช่วยที่ช่วยให้เชฟทำงานได้ง่ายขึ้น อย่าง Red Wine Sauce อร่อยๆ ต้องใช้เวลาทำ 3 วัน กิโลกรัมหนึ่งใช้ต้นทุนเกือบ 2,000 บาท ถ้ามีสินค้าที่มีรสชาติที่ดี มีต้นทุนที่ต่ำกว่า ใช้ง่ายเก็บง่าย เก็บได้นาน ก็เลยทำเป็นผงที่พอนำมาละลายน้ำก็ใช้ได้เลย ส่วนคนปรุงจะปรุงแบบไหนก็ขึ้นอยู่กับสไตล์ร้านใครร้านมันอยู่แล้ว ซอสของผมเป็น Base ส่วนใครจะ Create เป็นแบบไหนก็ตามความชอบได้เลย ผมว่าผลิตภัณฑ์เหล่านี้จะตอบโจทย์ลูกค้าในปัจจุบันได้เป็นอย่างดีครับ”