ท่ามกลางความหลากหลายของความรักที่ไม่มีข้อจำกัด คู่ครองอย่างถูกต้องตามกฎหมายสมรสเท่าเทียมอย่าง “พอร์ช-อภิวัฒน์ อภิวัฒน์เสรี” และ “อาม-สัพพัญญู ปนาทกูล” เปรียบดั่งอีกหนึ่งบทพิสูจน์ ให้ได้เห็นถึงความรักที่แท้จริง ผ่านเรื่องราวของพวกเขา ที่ทำให้เราเชื่อมั่นได้ว่า “ความรัก” ยังคงเป็นสิ่งที่สวยงามเสมอ โดยในเดือนแห่งความรักครั้งนี้ ทั้งสองได้กุมมือกันมาตอบทุกคำถามจาก HOWE พร้อมถ่ายทอดความรู้สึกลึกๆ เกี่ยวกับความรักที่ไม่ลับ
อะไรคือสิ่งที่ดึงดูดคุณทั้งสองให้มาคบหากัน
อาม : “น่าจะเป็นที่รอยยิ้ม พี่พอร์ชชอบพูดเสมอว่า รอยยิ้มของอามทำให้เขาละลาย (ยิ้มเขิน)”
พอร์ช : “จริงๆ ไม่ใช่แค่รอยยิ้ม แต่เป็นแววตาด้วย พอมองแล้วรู้สึกว่าเขามีอะไรบางอย่างดึงดูดเรา จนทำให้ต้องส่ง hi 5 ไปทักเขาเมื่อ 17 ปีก่อน ตอนที่เราเจอกันครั้งแรกในงานรียูเนียน ผมเป็นรุ่นพี่ที่มหา’ลัย มันเกิดจากความรู้สึกที่ทำให้ผมรู้สึกว่าต้องเป็นคนนี้แหละ ยิ่งตอนที่มีโอกาสกอดเขาครั้งแรก ผมยังพูดคำนี้ไว้ตอนพิธีสวมแหวนว่า เวลาคนเราจากบ้านไปนาน ๆ พอเราได้กลับมาที่บ้าน ได้สูดอากาศภายในบ้าน นอนบนเตียงที่เราคุ้นเคยที่บ้าน เป็นความรู้สึกแบบเดียวกับที่ผมกอดเขาครั้งแรก ว่าคนนี้แหละเหมือนเป็นจิ๊กซอว์ที่ต่อกันได้พอดี”
อาม : “เดตครั้งแรกสนุกมากครับ เขามารับอามเพื่อไปกินข้าวที่ห้างแถวบ้าน แล้วบังเอิญแอร์รถเกิดเสียตอนบ่ายสอง ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ร้อนมาก ด้วยความที่เป็นวันหยุดรถเลยติดมาก วนหาที่จอดรถในห้างเท่าไหร่ก็ไม่มี พอสักพักเขาก็บอกว่าไม่ไหวแล้วพี่ปวดฉี่ อามช่วยขับแทนให้หน่อย แล้วเขาก็เปิดประตูรถออกไปเข้าห้องน้ำ ส่วนอามก็ขับรถวนหาที่จอดต่อไป (หัวเราะ) แต่ก็เป็นเรื่องดีที่วันแรกของการเดต เราทำตัวเป็นธรรมชาติ ไม่มีอะไรปั้นแต่งเข้าหากัน”

พอร์ช : “ถึงแม้เราจะอายุห่างกัน 11 ปี แต่เราก็แมตช์กันได้ดี เราทั้งสองคนเห็นตรงกันว่า เราคลิกกันไวมาก มันมีอ้อมกอดแรกของเรา ที่ผมพูดกับเขาว่านี่คืออ้อมกอดที่คุ้นเคย เหมือนเราเคยกอดกันมาก่อน ทำให้รู้สึกว่าไม่รู้จะเสียเวลาทำไม ก็เลยขอคบเขาเป็นแฟนเลย”
อาม : “เป้าหมายเราที่มองเหมือนกันคือ เราจะอยู่ด้วยกันไปจนถึงวันที่เราแก่เฒ่า จะไม่พูดว่าวันสุดท้ายของชีวิตนะ แต่พอเรามีธงนี้ปักไว้ ไม่ว่ามันจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม เราจะจับมือเดินประคับประคองกันไป”
มีกระทบกระทั่งกันบ่อยไหม แล้วจับมือข้ามผ่านปัญหานั้นไปได้ด้วยวิธีใด
อาม : “ลิ้นกับฟัน เป็นคำศัพท์ที่โบราณมาก แต่คู่เราเป็นแบบนั้น เถียงกันบ่อยมาก ทะเลาะกันก็บ่อย”
พอร์ช : “เป็นการทะเลาะกันด้วยการเอาเหตุผลมาฟาดใส่กัน เป็นแนวฉันคิดแบบนี้ เธอคิดแบบนึง ถกกันจนบางทีมันอาจมีอารมณ์หงุดหงิดเกิดขึ้นบ้าง แต่ไม่เคยมีเหตุการณ์รุนแรง”
อาม : “บางทีพอเราถอยออกมาลองถามตัวเอง แล้วก็ถามเขาด้วยว่าเราเถียงกันไปเพื่ออะไร สุดท้ายมันจบลงด้วยเสียงหัวเราะ แล้วก็ใช้ชีวิตต่อ นั่นหมายความว่าเราไม่ได้อยากเอาชนะ เราแค่อยากให้เขาเข้าใจเรา”
พอร์ช : “แต่ถ้าถามเรื่องความโรแมนติก ผมว่านิยามความโรแมนติกสำหรับเรา ไม่ใช่การดินเนอร์ใต้แสงเทียน หรือดอกไม้ช่อใหญ่ แต่มันคือความเรียบง่ายที่เสมอต้นเสมอปลายมากกว่า คือความธรรมดาที่เราสามารถเจอได้ทุกวัน รู้สึกคุ้นเคย และสบายใจที่จะอยู่กับสิ่งนั้นมากกว่า”
อาม : “ความโรแมนติกที่อามสัมผัสได้ แล้วรู้สึกอิ่มเอมกับมัน คงเป็นทุกคืนที่เราเข้านอนด้วยกัน จะบอกพี่พอร์ชเสมอว่า ขออ้อมกอด…นี้หน่อย เราจะมีชื่อของเราซึ่งขออุบไว้เฉพาะเรา (อมยิ้ม) แล้วทุกคืนหลังจากอ้อมกอดนี้เราก็จะบอกรักกัน”
ผลตอบรับ The Reality Series “PorschArm The Wedding” ที่ทำร่วมกันเป็นอย่างไรบ้าง
พอร์ช : “ดีเกินความคาดหมายครับ รายการนี้เป็นโปรเจกต์พิเศษที่เราทำด้วยกัน ดีใจและตื่นเต้นมาก ต้องขอขอบคุณ บริษัท สตาร์ ฮันเตอร์ เอ็นเตอร์เทนเม้นท์ จำกัด ที่เป็นพาร์ตเนอร์สำคัญร่วมสร้างสรรค์คอนเทนต์ และอีกสิ่งหนึ่งคืออยากให้ทุกคนได้รับรู้ว่า ความรักสวยงามไม่ต่างกัน มีคุณค่าเท่ากัน”
อาม : “PorschArm The Wedding เป็นเรียลลิตี้ซีรีส์ที่อามรู้สึกว่า สื่อสารมาได้ละมุนตุ้นมาก มีความฟิน และเต็มไปด้วยความสุข”

เคยเจอการบูลลีครั้งไหน ส่งผลต่อจิตใจมากที่สุด
พอร์ช : “เหตุการณ์ที่ผมยังจำได้จนทุกวันนี้ ไม่ใช่ไซเบอร์บูลลี แต่เป็นการบูลลีต่อหน้าเลย เมื่อ Pride Month ที่ผ่านมา ผมร่วมอยู่ในขบวนด้วย ตามข้างทางมีผู้คนมาโบกมือยิ้มแย้มให้กัน แต่มีคนหนึ่งยืนมองอยู่แล้วทำท่าทางที่แย่มาก ผมรู้สึกว่าทำไมคนเราถึงเอาความรักของคนอื่น มามองเป็นเรื่องตลกได้ ทั้งที่ความรู้สึกข้างในของมนุษย์ทุกคนที่เกิดขึ้นไม่ได้ต่างกัน ถือเป็นเหตุการณ์ที่ทำให้รู้สึกแย่ แต่อามเขาเป็นคนที่ดีลกับอะไรแบบนี้ได้ดีกว่าผม เขาเป็นคน ‘ช่างมันเถอะ’ ได้เร็วกว่าผม”
อาม : “อามมองแค่คนรอบข้างใกล้ตัวเรา อย่างครอบครัว พี่น้อง เพื่อนฝูง ยินดีกับเรา ปรารถนาดีกับเรา สำหรับคนอื่นเราไปเจอข้างนอก ไม่ว่าจะเป็นในโลกโซเชียล หรือโลกข้างนอก ซึ่งเราไม่รู้จักเขาด้วยซ้ำ แล้วคำพูด คอมเมนต์ หรือแมสเสจที่ส่งมาถึงเรา เราสามารถเลือกรับได้ หรือเลือกที่จะไม่ใส่ใจก็ได้”
ความรู้สึกที่มีต่อกฎหมายสมรสเท่าเทียมในประเทศไทย
อาม : “อามไม่เคยคิดเลยว่าจะมีภาพนี้เกิดขึ้นจริง พี่พอร์ชเคยบอกว่าอามเป็นมนุษย์ที่กดตัวเองเอาไว้ สังคมไม่ได้พยามกดเรา แต่ตัวเราเองต่างหาก เราอาจคิดว่าเราแตกต่าง ไม่เหมือนคู่ปกติ เราแต่งงานไม่ได้หรอก อามคิดแบบนี้แล้วก็จินตนาการภาพไม่ออกเลย ว่าเราจะมีงานแต่งงานเหรอ เราจะจดทะเบียนกันได้ยังไง แต่มาถึงวันนี้มันเป็นจริงแล้ว ทำให้ย้อนนึกไปถึงตอนที่เขาขอแต่งงานเมื่อ 11 ปีที่แล้ว ซึ่งเป็นสิ่งที่เซอร์ไพรส์มาก”
พอร์ช : “ถ้าเรามีคนที่เรารักขนาดนี้ แล้วอยากร่วมชีวิตกับเขา ทำไมเราจะไม่ขอเขาแต่งงานใช่ไหมครับ ผมก็แค่คนหนึ่งที่มีความรักเหมือนทุกคน การขอการแต่งงานเป็นเส้นทางความรักของมนุษย์ เป็นการสร้างครอบครัว ผมก็แค่เดินตามเส้นทางนั้น ไม่เคยรู้สึกเลยว่าเราเป็นแบบนี้แล้วจะไปได้สุดแค่เป็นแฟนกัน ผมอยากขอเขาอย่างเป็นทางการ ว่ามาร่วมชีวิตกันนะ พาครอบครัวทั้งสองของเรามาเป็นหนึ่งเดียวกัน จากวันนั้นเราได้ใช้ชีวิตกันมา 11 ปีแล้ว แต่ถ้าการแต่งงานหมายถึงการมีงานปาร์ตี้ เราเพิ่งแต่งงานกันได้กี่สัปดาห์ แล้วถ้าหมายถึงการมีลายเซ็นแบบที่กฎหมายรับรอง เราก็เพิ่งแต่งงานกันไม่กี่วัน”

อาม : “อนาคตหลังจากจดทะเบียนสมรส ถือว่าเราเป็นบุคคลเดียวกันในทางกฎหมายแล้วโดยสมบูรณ์ ส่วนเรื่องลูก เราเคยคุยกันว่าเรารักเด็กนะ อยากมี แต่เราพร้อมแล้วหรือยัง ความพร้อมเป็นเรื่องสำคัญมาก เพราะการจะเลี้ยงเด็กคนหนึ่งให้เติบโตมาอย่างมีคุณภาพในสังคมปัจจุบันนี้ เราต้องใช้ทรัพยากรมหาศาลที่จะเลี้ยงลูก ไม่ใช่แค่เรื่องเงินทอง แต่เป็นเรื่องการสร้างสังคมให้เขา อบรมดูแลอย่างไร”
อยากจะฝากอะไรถึงสังคมไทย หรือคู่รักชาว LGBTQIA+ เกี่ยวกับความเท่าเทียมที่เปิดกว้างมากขึ้น
อาม : “อยากฝากไปถึงทุกคนเลยว่า ความรักดี ๆ มีอยู่จริง ไม่ว่าคุณจะเป็นใคร ไม่ว่าคุณจะมีเพศวิถีแบบใด คุณสามารถมีความรักที่ดีได้ เริ่มจากรักตัวเองก่อน นี่แหละคือความรักที่เป็นยูนิตเล็กที่สุด แต่สำคัญที่สุด พอคุณรักตัวเองแล้วคุณก็จะเผื่อแผ่ความรักนี้ไปให้ครอบครัว คนรัก เพื่อนฝูง ไปจนถึงให้สังคม อันนี้เป็นสิ่งที่อามว่ามองว่าสำคัญมากที่สุด”
พอร์ช : “อยากฝากทิ้งไว้เหมือนกันว่า ถ้าเรามองคนอื่นในฐานะเป็นมนุษย์คนหนึ่ง เราให้เกียรติเขา มีความรัก ความเมตตาให้เขา โดยเริ่มมาจากข้างในตัวเราเองเหมือนอย่างที่อามพูด เราก็จะรู้ว่าทุกคนต่างมีคุณค่าความเป็นคนเท่ากันครับ”