มิ้น มิณฑิตา วัฒนกุล – ซิลวี่ ภาวิดา มอริจจิ  รักข้ามวัยแต่หัวใจเข้ากัน

0
235

ความรักต่างวัย ที่ขับเคลื่อนด้วยความเข้าใจในตัวตนของกันและกัน ทำให้ มิ้น – มิณฑิตา วัฒนกุล นักแสดงมากความสามารถ และ ซิลวี่ – ภาวิดา มอริจจิ นักร้องดังที่มีเอกลักษณ์โดดเด่นในแบบตัวเอง เป็นคู่รักที่พร้อมจะกุมมือกันข้ามผ่านอุปสรรค และพร้อมเรียนรู้ไปด้วยกัน ทั้งยังเป็นแรงบันดาลใจให้หลายคนกล้าที่จะรักอย่างอิสระ โดยไม่ต้องยึดติดกับขนบเดิม ๆ เพราะสุดท้ายแล้วความสุขที่แท้จริง ขึ้นอยู่กับหัวใจที่ผสานกันได้เป็นหนึ่งเดียว

HOWE : แรงดึงดูดที่ทำให้ตัดสินใจคบหากัน

ซิลวี่ : “มันเป็นฟีลปิ๊ง! ตั้งแต่แรกเห็น เขาก็คือเป็นพี่มิ้นของน้อง ๆ ทั้งหลาย เป็นคนที่น่ารัก ยิ้มเก่ง สัมผัสได้ถึงความสดใส เรารู้สึกว่าอยากเป็นคนแบบนี้บ้างจัง”

มิ้น : “เริ่มจากเจอหน้าแล้วรู้สึกถูกชะตา ถูกใจ มิ้นมองว่าความต่างของเราดึงดูดกัน มันมีพาร์ทที่มินอยากรู้สึกสนุกกับชีวิตกล้ากับชีวิตมากขึ้น แล้วเค้าก็เป็นตัวแทนของความกล้า เวลามิ้นได้เจอใครสักคนแล้วรู้สึกเหมือนถูกที่ ถูกเวลา มิ้นพร้อมที่จะเดินเข้าไปก่อนเลย ไม่สนหรอกว่าคนนี้ใช่หรือยัง จะใช่หรือเปล่า แม้แต่วันนี้ก็บอกตัวเองว่า มันอาจจะมีวันนึง ที่อาจไม่ใช่ก็ได้ ซึ่งพอเข้าไปจีบ ตอนแรกเขาก็ไม่เชื่อด้วยซ้ำว่าเรามาจริง คือซิลไม่เชื่อว่ามิ้นเข้ามาคบจริงจัง คิดว่ามาคบเล่น ๆ”

ซิลวี่ : “ซิลว่าเวลาเป็นตัวบอก เพราะตอนแรกแรกก็รู้สึกว่าฝืนหรือเปล่า ยังไม่ไว้ใจ ยังไม่เชื่อใจกัน คือความสัมพันธ์ช่วงแรกจะมีแอบคิดตลอดว่า หรือเราจะไปกันไม่ได้ ด้วยความที่เราต่างกันมาก จนมามั่นใจว่าใช่น่าจะช่วงประมาณ 2-3 ปีมานี้”

HOWE : อะไรคือความ “ต่าง” แบบขั้นสุด

มิ้น : “มิ้นรู้สึกว่าสิ่งที่เป็นปัญหาบ่อย และค่อนข้างชัดเจนในความสัมพันธ์ คือเห็นเขาแบบนี้แต่ซิลเป็นคนทำอะไรเป็นแบบแผน ส่วนมิ้นเป็นคนที่ยืดหยุ่นต่อแบบแผน (หัวเราะ) คือไม่ต้องมีแบบแผนก็ได้ สมมติถ้าเกิดคุยกันว่าพรุ่งนี้เราจะทำอะไรกันบ้าง ซิลก็จะเป็นคนพูดแล้วคือต้องทำตามนั้น ต้องเป๊ะเป็นหลักวินาที! แม้แต่การไปเที่ยวเขาก็จะไม่สามารถชิลล์กับตารางที่ยืดหยุ่นได้ เขาชอบมีแพลนที่ชัดเจน ส่วนมิ้นจะเป็นคนที่แม้แต่งงานที่สำคัญ ฉันก็แล้วแต่อารมณ์ (หัวเราะ)”

ซิลวี่ : “พี่มิ้นเป็นคนเน้นจอยกับปัจจุบัน ซึ่งนี่แหละคือพาร์ตที่หนูชอบเขาในการใช้ชีวิต”

มิ้น : “มันเลยทำให้เรารู้สึกอยากใช้ชีวิตให้ได้มากขึ้นแบบเขา อย่างเรื่องงานก็จริงจังมีแบบแผนบ้างก็ดี อันนี้อาจเป็นความต่างในเชิงที่ดึงดูด และต่างในแบบที่เราอยากจะนำมาปรับใช้ในชีวิต อีกสิ่งหนึ่งที่เป็นความต่างแรก ๆ ที่เห็นได้ชัดก็อาจจะเป็นช่วงวัยที่เขายังติดสนุกอยู่”

ซิลวี่ : “ตอนแรกยังไม่รู้สึกนะ ก่อนหน้านี้เราเคยเจอคำถามคิดว่าอายุที่ห่างกันมีผลไหม ซึ่งก็มักจะตอบตลอดว่าไม่มี ไม่รู้สึก แต่ว่าความจริงมันน่าจะมี ถ้ามองภาพรวมก็มีเรื่องของ Age Gap และเจเนเรชั่นอยู่”

มิ้น : “มีหลายอย่างที่เป็นอุปสรรคให้ช่วงแรกคุยกันไม่ค่อยรู้เรื่องด้วย Gen Gap อย่างเช่น เขาชอบเท็กซ์ แต่เราชอบโทร ซึ่งความน้อยใจที่เกิดคือจากการทำไมพี่เขาไม่เท็กซ์มาเลย หรือพอเราโทรไปทำไมเขาไม่ค่อยรับ มันก็จะมีโมเมนต์แบบนี้ เป็นเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่สั่งสมให้เป็นพื้นที่ของความไม่เข้าใจกัน หรือไม่เชื่อใจกัน ในช่วงแรกๆ มันจะมาจาก Gen Gap เยอะ”

ซิลวี่ : “อายุเราห่างกัน 7 ปีก็มีผลหลายอย่างที่ทำให้เราแตกต่างกันในแง่ของวัย ช่วงแรกที่เราคบกัน พี่เขาอายุ 32 ส่วนซิลอายุ 25 มันคือช่วงที่กำลังรู้สึกว่าฉันยังอยากไปซิ่งอยู่”

มิ้น : “อาจเป็นเพราะมิ้นอยู่ในวงการนี้ด้วย เลยไม่ได้ใช้ชีวิตตามวัยแบบเดียวกับเพื่อนที่อยู่นอกวงการ ที่เขาดูมีความเป็นผู้ใหญ่ ส่วนเรายังลั้ลลาด๊องแด๊งของเราไปเรื่อย (หัวเราะ) เลยแอบรู้สึกว่าพอจะเบลนด์กันไปได้กับซิล ตัวมิ้นเองก็ต้องพยายามเข้าใจว่าการที่เขาเด็กกว่าเรา 7 ปี ไม่ได้หมายความว่าเขาเป็นเด็ก เขาก็มีความเป็นผู้ใหญ่ตามวัยของเขา เรียกว่าแทบจะเกินวัยด้วยซ้ำ”

ซิลวี่ : “พี่มิ้นเป็นผู้ใหญ่กว่าเราก็จริง แต่เขาก็มีพาร์ทน่ารักตรงที่เขากล้าเป็นน้องมิ้นน้อยกับเรา แล้วซิลก็มีความอยากเป็นคนมากประสบการณ์ เป็นพี่โต เป็นนักสู้ มันก็เลยมาผสานกันได้ตรงกลาง”

HOWE: เคยมีครั้งไหนกระทบกระทั่งกันแรงสุด อะไรทำให้หันกลับมาจับมือก้าวผ่านปัญหานั้นไปได้

มิ้น : “จริง ๆ ก็มีหลายครั้งที่อยากหันหลังให้กัน ในช่วงของความเข้มข้น ณ โมเมนต์ที่เพิ่งเกิดเรื่อง รู้สึกว่าทำไมไม่เข้าใจสักที หรือบางทีมันตีความไปเองในหัวว่าเขาไม่รักเราเลยนะถึงทำแบบนี้ ก็เคยมีความคิดเหมือนกันว่าจะอยู่ไปทำไม หรือตรงนี้จะไม่ใช่พื้นที่ของเรา มีอยู่หลายครั้งที่เวลาทะเลาะกัน มันจะมีโมเมนต์แบบนี้โผล่ขึ้นมา แต่คิดแค่แป๊บ ๆ แล้วก็ถามตัวเองว่า เมื่อกี้คิดอะไรน่ะ (หัวเราะ)”

ซิลวี่ : “เราคบกันมา 4 ปี ช่วงปีแรกจะมีความไม่รอด แล้วก็หันหลัง แต่พอช่วงสองปีหลังมารู้สึกว่ามันลงตัวมากขึ้น อาจมีบ้างที่เป็นฟีลเหนื่อยท้อ แต่เราพยายาม”

มิ้น : “อย่างที่ซิลบอก มันเหมือนจะมีช่วงเวลาของความไม่เข้าใจ รู้สึกเหนื่อย ไม่เอาแล้ว บางทีก็เป็นสัก 2-3 วัน มากสุดหนึ่งอาทิตย์ แต่ก็เคยมีแบบเป็นเดือนด้วย อันนั้นคือเรารู้สึกว่าไม่เอาแล้ว เลิกแล้ว ก็ไปฮึบอยู่ (หัวเราะ)” แต่สุดท้ายพอมีการกลับมาสื่อสารกัน ปรับความเข้าใจกัน ก็ดีกัน เราแค่ต้องให้เวลาและรับฟังกัน”

HOWE : หัวใจสำคัญที่ทำให้ความสัมพันธ์มั่นคงแข็งแกร่ง จนก้าวเข้าสู่ปีที่ 5

มิ้น : “มิ้นคิดว่าการสื่อสารทำให้เรามาถึงจุดนี้ได้ ในแง่ของเครื่องมือที่ทำให้เข้าใจกันมากขึ้น แต่ถ้าไม่ใช่ตัวเขาที่เป็นเขาแบบนี้ ซึ่งมีความเป็นนักสู้ เป็นคนมั่นใจ มิ้นก็ไม่รู้ว่าจะเราจะอยู่มาถึงวันนี้หรือเปล่า พอมันเป็นตัวเขาในแบบที่เราชอบด้วย มันถูกจริตเรา แล้วเขาก็พัฒนาความสัมพันธ์ด้วยการสื่อสาร ทำความเข้าใจไปด้วยกัน เราก็ปรับ เขาก็ปรับ”

ซิลวี่ : “ซิลว่าเรามองเห็นความอยากไปต่อของอีกฝ่าย ที่รู้สึกว่าถ้าเราพร้อมเขาก็พร้อม อยากจับมือไปด้วยกัน เพราะถ้าคนหนึ่งสู้แต่อีกคนไม่ไปด้วย มันก็จบ แต่อันนี้เหมือนเราเห็นความเป็นทีม เราลองดูอีกไหม คือตอนแรก ๆ อาจจะเครียดอยู่บ้าง แต่พอหลัง ๆ มาเริ่มรู้สึกว่าเราจะปล่อยมือบ้างไหม จะได้ไม่ตึงเครียดกับการต้องจับมือกันให้แน่นตลอดเวลา”

มิ้น : “มีคนเคยพูดกับมิ้นบ่อยมากว่า เราสองคนโชคดีที่ได้มารักกับคนที่สามารถทำให้เราเป็นตัวของตัวเองได้ แต่ไม่ได้หมายความว่าเราไม่ได้ปรับเข้าหากันนะ มันไม่ได้แปลว่าจะไม่มีช่วงเวลาที่เรารู้สึกว่า ทำไมเป็นตัวของตัวเองไม่ได้ มันก็มีช่วงเวลาเวลานั้นเหมือนกัน มิ้นชอบซิลที่เป็นซิลนะ แต่ถ้าเป็นซิลในแง่มุมที่มั่นมาก ๆ มันอาจไปด้วยกันไม่ได้”

ซิลวี่ : “เหมือนเรารู้ข้อดีข้อเสียของอีกฝ่าย แล้วประเด็นคืออีกฝ่ายก็รู้ด้วยว่าข้อเสียของตัวเองคืออะไร และพร้อมจะปรับไปกับเรา แต่ถ้าอยู่ในจุดที่ฉันมีข้อเสีย แต่เธอต้องรับฉันให้ได้ มันก็ดูใจร้ายไป”

มิ้น : “แบบนั้นแสดงว่าความรักที่เรามี เป็นความรักที่เรารักตัวเอง ถ้าเธอรักฉันที่ฉันเป็น ฉันถึงจะรักเธอ มันก็ไม่ได้มาเจอกันตรงกลาง มันต้องหาบาลานซ์”

HOWE : คู่ของเรามีความโรแมนติกให้กันขนาดไหน

มิ้น : “เราเป็นคนที่โตมาแบบ Love Language ไม่เหมือนกัน มิ้นเป็นคนที่ชอบแสดงออกผ่านการสัมผัส ออกแนว Physical Touch ว่าง ๆ ก็ทำอาหารให้ ส่วนซิลด้วยความที่เขาเป็นนักวางแผน ก็จะเก่งเรื่องความพยายามวางแผนในการให้ของขวัญ ให้ดอกไม้ หรือแต่งเพลงให้ หรือวันไหนมานอนค้างที่บ้าน พอตื่นเช้ามาก็จะเห็นแปรงสีฟันมียาสีฟันบีบไว้ให้ ทำให้กันจนเป็นเรื่องธรรมดาธรรมดาไปแล้วสำหรับเรา อย่างถ้าเมื่อคืนเพิ่งทะเลาะกัน พอตื่นเช้ามาเห็นยาสีฟันบีบไว้ให้บนแปรงก็หายโกรธแล้ว”

ซิลวี่ : “เขาเป็นคนที่น่ารัก ขี้อ้อน ตะมุตะมิ ก็เลยดูโรแมนติกไปโดยปริยาย แต่ถ้าวัดเรื่องการจำวันสำคัญได้ไหม คือแทบไม่ได้เลย (หัวเราะ) ต้องคอยบอกตลอดว่ากำลังจะถึงวันครบรอบแล้วนะ หรือวันที่ 3 ตุลาฯ มีงานเหรอ นั่นวันเกิดซิลนะ”

มิ้น : “ครอบครัวมิ้นโตมากับพ่อที่เป็นดารา วันสำคัญเลยเป็นวันที่เอาไว้ทีหลังได้ ถ้ามีงานเข้ามาก็ทำก่อน เลยไม่ได้คิดว่าวันที่ 3 ตุลาฯ ต้องฉลอง คิดว่าฉลองวันที่ 2 หรือวันที่ 4 ก็ได้”

HOWE : คิดว่าการแต่งงานเป็นสิ่งสำคัญในความสัมพันธ์ของคู่เราไหม

มิ้น : “มีคนรอบข้างหลายคนถามกันเยอะ ว่าจะแต่งกันหรือยัง กฎหมายสมรสเท่าเทียมผ่านแล้วนะ ตอนนี้คำตอบอย่างเป็นทางการก็คือ ยังไม่แต่ง คิดว่าช้า ๆ แต่มั่นคง คือสิ่งที่เราอยากจะให้มันเกิดขึ้น ค่อย ๆ ไตร่ตรอง แต่งเมื่อพร้อม ซึ่งยังตอบไม่ได้เหมือนกันว่าเมื่อไหร่ เพราะคนหนึ่งเป็นนักวางแผน แต่อีกคนเป็นสุนทรีย์ มิ้นไม่มีคู่มือการใช้ชีวิตตรงนี้ เราต่างไม่ได้อยู่ในจุดที่โตมามีแนวคิดว่า การจะแต่งงานต้องเกิดขึ้นเพราะอะไร”

ซิลวี่ : “จริง ๆ ไม่เคยคิดว่ามันจะเกิดขึ้นได้เลย แอบปรับตัวไม่ถูกเหมือนกัน พอเห็นว่าหลายคนแต่งกันแล้วเราต้องเริ่มหรือยัง มันก็แอบมีความกดดันมุมนั้นอยู่บ้าง ไหนจะเรื่องงานอีก มีหลายอย่างที่คิดว่าการแต่งงานอาจจะยังไม่ใช่ในตอนนี้”

มิ้น : “คู่ที่แต่งเขาอาจพร้อมกันแล้ว แต่คู่เรายังไม่พร้อมหรือเปล่า ในความรู้สึกของมิ้นการแต่งงานจดทะเบียน จะส่งผลให้มีหลายสิ่งเปลี่ยนไป ซึ่งไม่ใช่แค่เรื่องของคนสองคน มันมีหลายอย่างเหลือเกินที่เกี่ยวข้อง คำถามคือเราพร้อมหรือยัง แค่วางแผนไปเที่ยวต่างประเทศด้วยกัน ทำได้หรือยังก่อนเถอะ (หัวเราะ) แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและคำถามที่ได้รับเกี่ยวกับเรื่องนี้ในช่วงที่ผ่านมา ก็กระตุ้นให้เรามีบทสนทนาในเรื่องนี้กันมากขึ้น”

ซิลวี่ : “ด้วยความที่สมรสเท่าเทียมเกิดขึ้นแล้ว ทำให้เรารู้สึกถึงความเป็นไปได้นะ เราเข้าไปศึกษาว่าถ้าจดทะเบียนไปแล้วจะมีผลอย่างไรเกิดขึ้นบ้าง”

HOWE : อยากเห็นการเปลี่ยนแปลงอะไรในสังคมไทยอีกบ้าง เกี่ยวกับสิทธิของ LGBTQ+

ซิลวี่ : “ในมุมของซิลขอแค่ได้การยอมรับ ได้รับความเข้าใจ แล้วก็เปิดกว้าง ไม่โดนมองด้วยความเกลียดชัง ซิลคิดว่าแฮปปี้แล้ว มันเป็นพื้นที่ที่ควรจะให้ทุกคนได้มีความสบายใจ ได้รู้สึกปลอดภัย”

มิ้น : “การผ่านกฎหมายสมรสเท่าเทียม หลายคนอาจจะมองว่าก็แต่งงานได้แล้ว มีสิทธิ์ตามกฎหมายแล้ว แต่จริงๆ ยังมีอะไรมากกว่านั้น มันมีพื้นที่ซึ่งจะทำให้คนที่เขาอาจจะยังไม่เข้าใจ เปิดใจยอมรับมากขึ้น มิ้นคิดว่ามันคือการเรียนรู้ด้วยกันของสังคม เพราะฉะนั้นถ้าเรากดดันมาก การยอมรับก็จะกลายเป็นการถูกบีบคั้น เมื่อไหร่ที่เป็นการบีบคั้น มันก็จะเป็นการยอมรับที่ไม่จริง อันนั้นอันตรายกว่า มิ้นคิดว่าก็ค่อยๆ เปิดใจกันไป แล้วค่อย ๆ ทำความเข้าใจคนที่ยังไม่เข้าใจด้วย วันนี้เขาคงเห็นแล้วว่าโลกเปลี่ยนไปผ่านทางกฎหมายสมรสเท่าเทียม ในเมื่อกฎของสังคมเปลี่ยน เขาก็คงต้องค่อย ๆ เปิดใจยอมรับ ค่อย ๆ ให้เขาได้ตั้งคำถามแล้วก็ตอบคำถามตัวเอง เพื่อวันหนึ่งมันจะกลายเป็นการยอมรับที่แท้จริง”

HOWE : ความรักในมุมมองของทั้งสองคนเป็นอย่างไร

ซิลวี่ : “ตอนคบกับพี่มิ้นแรกๆ คำที่ทำให้จึ้งใจมากก็คือประโยคที่ว่า มนุษย์เราเกิดมาก็ต้องตาย (หัวเราะ) เพราะซิลมัวแต่กลัว ไม่กล้าคบ เป็นคำที่ทำให้เด็กอายุ 25 ในตอนนั้นรู้สึกงง มันแปลว่าไร เหมือนเขาหมายถึงว่าถ้ามามัวแต่คิดมาก มัวแต่เครียด มันไม่ได้เปิดใจมาคบกัน”

มิ้น : “คนเรามาพบเพื่อจากอยู่แล้ว ไม่จากเป็นก็จากตาย วันนี้ถ้ายังมีโอกาสได้มาเจอกันและมีอะไรดึงดูดจิตใจกัน ก็ลองคบกันดู ไม่มีใครรู้หรอกว่าเป็นเรื่องดีหรือไม่ดี แต่สุดท้ายสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วมันดีเสมอ แม้ว่าอาจจะเจอกันแล้ว Toxic ก็ได้ ไม่เป็นไร บางทีการ Toxic นั้น อาจทำให้คน Toxic ทั้งสองคนเริ่มเรียนรู้ว่าตัวเอง Toxic แล้วปรับตัวกัน มิ้นไม่รู้หรอกว่าความรักความสัมพันธ์จะเป็นเรื่องดีหมด มันก็มีรักกันแล้วทำร้ายชาวบ้านก็มี หรือรักกันแล้วทำร้ายตัวเองก็มี แต่ก็ถือว่าเป็นพาร์ทของการเรียนรู้และการเติบโตในชีวิต ถ้ามัวแต่กลัวก็เหมือนกับเราไม่ได้ใช้ชีวิต แล้วถ้าเราต้องตายอยู่แล้วในวันนึง จะไม่ลองใช้ชีวิตดูหน่อยเหรอ ลองรักด้วยแพสชั่น ตกหลุมรักให้สุด อกหักให้สุด แล้วเมื่อผ่านไปถึงช่วงบั้นปลาย พอได้หันกลับมามองชีวิตตัวเองที่ผ่านมา อย่างน้อยเราก็ได้ลองแล้วครั้งหนึ่ง ไม่เสียดาย ความรักเป็นสิ่งสวยงามเสมอ ถึงแม้เราจะหยุมกันบ้างก็ตาม (หัวเราะ)”

Facebook Comments

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่

This site uses Akismet to reduce spam. Learn how your comment data is processed.