SAY HI : “ชนิตา ปรีชาวิทยากุล” ปรับ เปลี่ยน และเติบโตบนเส้นทางสายแฟชั่น

0
704

“คุณลี่-ชนิตา ปรีชาวิทยากุล” เจ้าของแบรนด์ Senada (ซีนาด้า) แบรนด์สินค้าไทยที่โด่งดังในต่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็นญี่ปุ่น จีน และยุโรป กว่า 30 ปี ที่เธอโลดแล่นในตลาดสายแฟชั่น แม้จะต้องต่อสู้กับอุปสรรค คู่แข่ง และสถานการณ์ทางเศรษฐกิจ แต่นั่นก็ทำให้เธอได้เรียนรู้ที่จะปรับ เปลี่ยน สร้างจุดเด่นให้แบรนด์ และตอบโจทย์กระแส “Eco Friendly” จนเป็นที่ยอมรับในระดับสากล ซึ่งเธอบอกกับเราว่าการทำธุรกิจแฟชั่นไม่ใช่เรื่องง่าย การที่ Senada ยังคงอยู่และเติบโต ถือเป็นความภาคภูมิใจสูงสุดของเธอ

“พี่ไม่ได้จบจาก Fashion School ที่เข้ามาทำธุรกิจเพราะ Passion อยากทำในสิ่งที่ชอบ ทำแล้วมีความสุข ตอนนั้นอายุ 28 มีความฝันว่าอยากทำเสื้อผ้า ไม่มีความรู้เรื่องธุรกิจ ไม่มีความรู้เรื่อง Branding ก็เลยเรียนรู้ด้วยตัวเอง ผลักดันแบรนด์จนเป็นที่ยอมรับ จนตอนที่เจอวิกฤตต้มยำกุ้งก็ได้รับผลกระทบมาก เพราะนำเข้าวัตถุดิบจากยุโรปและญี่ปุ่น ต้นทุนจาก 25 บาทกลายเป็น 50 บาท ทำให้ต้องหาทางอยู่รอด เศรษฐกิจแย่ ยอดขายก็แย่ คนตกงาน บริษัทปิดกิจการ แต่ก็พอดีกับที่องค์การส่งเสริมการค้าต่างประเทศของญี่ปุ่น (JETRO) ติดต่อผ่านกรมส่งเสริมการส่งออกเข้ามา ทำให้เราคิดจะทำตลาดต่างประเทศ เราต้องส่ง Profile ให้กับผู้เชี่ยวชาญจากทาคาชิมายะ จากฝรั่งเศสมา Recruit สินค้า ดูทุกสิ่งทุกอย่าง ไปสัมภาษณ์เจ้าของกิจการ และเขาก็เลือกเรา ซึ่งตอนนั้นพี่อายุน้อยสุด แต่เขาเลือกเพราะเชื่อในความ Active รวมทั้งได้รับการสนับสนุนจาก JETRO จน Senada ได้ไปวางจำหน่ายในร้าน Multi Brand ขนาดใหญ่ที่อยู่ในห้าง Way Bus Stop ที่ญี่ปุ่น และ Senada ถือเป็นแบรนด์เอเชียแบรนด์แรกที่เข้าไปขายที่นั่นถึง 13 สาขา ซึ่งก็ถือว่าประสบความสำเร็จพอสมควร”

“พนักงานเก่าเราไม่ไล่ออก เพราะบุคลากรเหล่านี้มีคุณค่า มี SKILL

เรามีจุดแข็งเรื่องคุณภาพวัสดุ และการตัดเย็บที่เข้าตะเข็บแบบโบราณตามสไตล์ HOUSE BRAND ของฝรั่งเศส

วันนี้ความ VINTAGE ของเราไม่ใช่ดีไซน์ แต่เป็นการตัดเย็บ”

“การทำธุรกิจแฟชั่นเป็นธุรกิจที่มี Calendar ต้องโชว์ที่ London Fashion Week, New York Fashion Week, Milan Fashion Week ปิดจบที่ Paris Fashion Week ซึ่งเป็นโชว์เพื่อขายให้กับ Buyer โดยตรง ซึ่งต่างกับการทำตลาด Local เราต้องเปลี่ยนระบบใหม่ทั้งหมด ต้องซื้อของเตรียมไว้ล่วงหน้า 1 ปี ปัจจุบันเราทำคอลเลกชัน Spring Summer 2024 สำหรับ Paris Fashion Week ตาม International Calendar ทำให้เราสามารถไปทำตลาดได้ทั้งอเมริกา ยุโรป สแกนดิเนเวียน และเอเชีย ซึ่งสมัยก่อนเราเคยอยู่ในร้าน Multi Brand หลายประเทศ เช่น ฮ่องกง ออสเตรเลีย อเมริกา อิตาลี ฝรั่งเศส เดนมาร์ก อังกฤษ และญี่ปุ่น ในยุคนั้นนิยมเสื้อผ้าสไตล์วินเทจ ซึ่งตรงกับคาแรกเตอร์ของแบรนด์พอดี พี่ชอบเดิน Flea Market เสื้อผ้าเราก็จะเป็นการ Reconstruction ในรูปแบบที่ค่อนข้างแตกต่างจากเสื้อผ้าทั่วไป ในแต่ละคอลเลกชันเราจะมีเสื้อผ้าหลากหลายสไตล์ เพื่อตอบโจทย์กับกลุ่มลูกค้าแต่ละประเทศ แต่วันนี้ ร้าน Multi Brand เริ่มหายไปจากตลาด เราก็ต้องปรับตัว และหาตลาดใหม่ ซึ่งแน่นอนว่าตอนนี้ตลาดที่ใหญ่ที่สุดก็คือประเทศจีน”

“ทุกวันนี้ธุรกิจเปลี่ยนไปมาก ถ้าเราอยากรอดก็ต้องปรับทุกอย่าง การทำ Marketing ช่องทางการจัดจำหน่าย กลยุทธ์การทำตลาด 10 ปีที่ผ่านมาทุกแบรนด์ต่างมุ่งไปยังประเทศจีน เพราะตลาดจีนใหญ่มาก มีห้างใหม่ๆ ทันสมัยมากขึ้น Multi Brand Store บางแบรนด์ร้านใหญ่เหมือนห้างสรรพสินค้าหนึ่งแห่ง และขายผ่านทุกช่องทาง โดยปัจจุบัน Seneda ก็มุ่งไปทำตลาดในจีนเช่นกัน ซึ่งธุรกิจมันต้องปรับตัวตลอด อย่างช่วงโควิด-19 เราก็ได้รับผลกระทบ งาน Fashion Week ไม่มี ห้างสรรพสินค้าปิด เราวางแผนอะไรไม่ได้เลย ผ่านมา 3 ปีเพิ่งจะฟื้นตัว ทำให้ทุกคนหันกลับมามองถึง Eco-Responsibility เป็นเรื่องที่ทุกคนต้องให้ความสำคัญ Eco-Friendly เป็นเรื่องจริงจังในญี่ปุ่นและยุโรปมานานแล้ว เมื่อก่อนเราใช้ Fine Material นำเข้าจากยุโรป พอเราเข้ามาตลาดญี่ปุ่นเราก็ต้องเข้าถึง Sustainable ถึงไม่ถึง 100% แต่ก็คำนึงถึงสิ่งแวดล้อมและการสร้างความสุขในที่ทำงาน แบรนด์ไม่มีข้อจำกัดเรื่องเทรนด์หรือสไตล์ ไม่มียุคสมัย แฟชั่นมีความ Flexible ขึ้น Street มากขึ้น เราจะเห็น Super Brand หันมาทำเสื้อผ้าแนว Street เยอะมาก การใส่เดรสกับ Sneaker เป็นเรื่องธรรมดา เราจะได้เห็นไลน์สินค้าใหม่ๆ รวมทั้งได้เห็นว่าเสื้อผ้า Luxury ก็หันมาขายผ่านช่องทางออนไลน์ทุกแบรนด์”

“เมื่อก่อนงานแฟชั่นจะมีคำถามว่า What’s New แต่จริงๆ ทุกแบรนด์ก็มี DNA ของตัวเอง แต่วันหนึ่งที่เปลี่ยนเพราะเราอยากเปลี่ยน เมื่อก่อนเราเน้นดีไซน์แนว Vintage แต่วันนี้ก็ไม่มีให้เห็นเลย แต่ Seneda Maintain จุดแข็งของเรา พนักงานเก่าเราก็ไม่ไล่ออก เพราะบุคลากรเหล่านี้มีคุณค่า เพราะเขามี Skill เรามีจุดแข็งเรื่องคุณภาพวัสดุ และการตัดเย็บที่เข้าตะเข็บแบบโบราณตามสไตล์ House Brand ของฝรั่งเศส ความ Vintage ของเราคือการตัดเย็บ ความ feminine คือความนุ่ม และการสร้างเลเยอร์ของผ้า แพตเทิร์นดี คัตติ้งต้องเนี้ยบ นี่คือหัวใจสำคัญที่ลูกค้าให้การยอมรับเรา” “ปัจจุบันนี้ธุรกิจแฟชั่นในเมืองจีนมาแรงมาก มีดีไซเนอร์หน้าใหม่ๆ เกิดขึ้นเยอะมาก การแข่งขันสูงมาก ส่วนตลาดเมืองไทย พี่รู้สึกเห็นใจถ้าใครอยากจะเข้ามาเส้นทางธุรกิจแฟชั่น เพราะก็จะเหนื่อยมาก และต้องใช้เงินลงทุนสูงมากเช่นกัน เราจะสู้กับแบรนด์เก่าอย่างไร เราจะก้าวไปสู่ตลาดระดับ International อย่างไร การทำตลาดก็เปลี่ยนไปหมด เราจะเห็น Influencer, Blogger เห็น Celebrity ซึ่งมีผลต่อการโปรโมตสินค้าและยอดขาย คนดู TikTok แล้วซื้อของตามใครสักคนที่รีวิว (หัวเราะ) ซึ่งแน่นอนว่าทุกอย่างต้องใช้เงินทั้งนั้น การทำ Flagship Store/Dressing Room แต่ละซีซัน อย่าง Seneda ก็เปลี่ยนรูปแบบมาเยอะมาก ตอนนี้ก็เป็น Art Deco พี่รู้สึกเห็นใจคนที่อยากจะก้าวเข้ามาทำแฟชั่นแบรนด์ ใครอยากลงทุนก็ต้องคิดให้รอบด้าน เพราะทุกวันนี้แค่ใจรักกับเงินลงทุนแค่นั้นไม่พอแล้วสำหรับตลาดสายนี้”

Facebook Comments

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่

This site uses Akismet to reduce spam. Learn how your comment data is processed.