“คุณหนึ่ง-สุริยน ศรีอรทัยกุล” เจ้าพ่อจิวเวลรี ของเมืองไทย ทายาทธุรกิจเครื่องประดับและอัญมณีหมื่นล้าน ภายใต้แบรนด์ “บิวตี้ เจมส์” กว่า 20 ปีที่เขาก้าวเข้ามาบริหารธุรกิจ ทำให้เราได้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงมากมาย ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาเรื่องดีไซน์ การมีผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ออกสู่ตลาด หรือแม้แต่การสร้างตลาดและฐานลูกค้าใหม่ๆ ให้เพิ่มมากขึ้น การที่คุณหนึ่งเป็นคนกระตือรือร้น ไม่หยุดพัฒนาตัวเอง จึงทำให้แบรนด์บิวตี้ เจมส์ กลายเป็นแบรนด์จิวเวลรีที่มีคุณภาพมาตรฐานระดับโลก ครองใจกลุ่มลูกค้าในประเทศและต่างประเทศ รวมทั้งยังเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างเม็ดเงิน สร้างแรงงาน และสร้างอาชีพให้กับคนไทยได้อย่างน่าภาคภูมิ
“ในฐานะที่ผมเป็นทายาทรุ่นที่ 3 ของบิวตี้ เจมส์ ตั้งแต่วันที่ผมก้าวเข้ามาทำงาน จนปัจจุบันดำรงตำแหน่งกรรมการผู้จัดการ กลุ่มบริษัท บิวตี้ เจมส์ กรุ๊ป ความรู้สึกที่อยากทำงาน อยากพัฒนาให้ธุรกิจก้าวไปข้างหน้า ทุกอย่างยังคงเหมือนวันแรกที่เข้ามาทำงาน หลายคนจึงยังเห็นถึงความกระตือรือร้น ความใส่ใจในรายละเอียด ชอบเรียนรู้ และไม่เคยหยุดพัฒนาตัวเอง ผมมักจะได้ยินคำถามว่า ‘ทำงานขนาดนี้ เอาพลังมาจากไหนกัน’ ผมก็จะตอบทุกครั้งว่า ‘ถ้าเราทำงานด้วยความรัก ทำด้วยความตั้งใจ และใส่ใจ เราก็จะรู้สึกสนุกกับการทำงานในทุกๆ วัน’ ผมรู้สึกว่าทุกอย่างที่ทำมันจะดีได้มากกว่านี้ ผมทำงานด้วยความรู้สึกที่สนุก ถ้าเรารักงานที่ทำ สนุกกับงานที่ทำ เราก็จะไม่รู้สึกเหนื่อย สุดท้ายความสำเร็จก็จะอยู่ตรงหน้าเราเอง”
“ผมว่าการเป็นทายาทรุ่นที่ 3 ของบิวตี้ เจมส์ ไม่ใช่เรื่องกดดัน แต่เป็นเรื่องท้าทายที่เราจะทำอย่างไรให้ธุรกิจของครอบครัวซึ่งดำเนินกิจการมายาวนานเกือบ 60 ปี พัฒนาและเติบโตขึ้นภายใต้การบริหารของเราในฐานะทายาท ผมโชคดีที่เข้ามาสานต่อธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ เพราะด้วยเรื่องของแบรนด์ เรื่องของมาตรฐานและคุณภาพ เป็นสิ่งที่ใครๆ ก็ยอมรับบิวตี้ เจมส์ ในฐานะแบรนด์ระดับโลกอยู่แล้ว ทำให้ทุกวันนี้เรายังมีฐานลูกค้าที่เหนียวแน่น ซึ่งภายใต้การดูแลของผมก็จะเน้นนโยบายสานต่อและพัฒนาสินค้า เน้นคุณภาพ การออกแบบ และไม่หยุดพัฒนาไม่ว่าจะเป็นการเลือกใช้ Innovation ใหม่ๆ เพื่อยกระดับมาตรฐานการผลิตและระบบหลังบ้านให้ดียิ่งๆ ขึ้นไป และสิ่งหนึ่งที่ผมยังให้ความสำคัญก็คือ การทำธุรกิจด้วยความซื่อสัตย์ มีมาตรฐานสูง และใส่ใจในทุกขั้นตอนการผลิต เพราะนี่คือปณิธานของแบรนด์บิวตี้ เจมส์ ตั้งแต่วันแรกที่เริ่มต้นทำธุรกิจ”
“ทุกวันนี้ต้องยอมรับว่าธุรกิจจิวเวลรี และอัญมณีมีการแข่งขันสูง ซึ่งช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด- 19 ก็ส่งผลกระทบต่อยอดขายของเราบ้าง แต่ในปัจจุบันก็ถือว่าเริ่มมีทิศทางที่ดีขึ้น เพราะมีอัตราการเติบโตและมียอดขายทั้งในประเทศและต่างประเทศ รวมทั้งในส่วนของ OEM (Original Equipment Manufacturer) ก็มีเข้ามาพอสมควร กลุ่มลูกค้าของบิวตี้ เจมส์ ก็มีทั้งในยุโรป เอเชีย อเมริกา ซึ่งสินค้าที่ได้รับความนิยมก็มีความหลากหลาย ขึ้นอยู่กับว่ากลุ่มลูกค้าเป็นใคร อย่างกลุ่มประเทศในยุโรป ญี่ปุ่น ก็จะชอบเครื่องประดับดีไซน์เรียบๆ ในขณะที่ประเทศในตะวันออกกลางก็จะชอบงานเครื่องประดับเป็นเซต เน้นความ Elegance ซึ่งผมมองว่าธุรกิจของบิวตี้ เจมส์ ในปีนี้มีอัตราการเติบโตมากกว่าปีที่ผ่านมา เพราะไทยเริ่มเปิดประเทศ และมีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามามากพอสมควร โดยกลุ่มที่มีกำลังซื้อก็กลับเข้ามาด้วยเช่นกัน ส่วนในปีหน้าผมมองว่าธุรกิจจิวเวลรีและอัญมณีของไทย และของบิวตี้ เจมส์เองก็น่าจะมียอดขายที่เติบโตมากขึ้นกว่าปีนี้อย่างแน่นอน”
“นอกจากนี้สิ่งหนึ่งที่ผมภาคภูมิใจในแบรนด์บิวตี้ เจมส์ ไม่ใช่แค่เราเป็นแบรนด์จิวเวลรีระดับโลกที่มียอดขายส่งออก และรับทำ OEM เป็นอันดับต้นๆ ของเมืองไทย ที่สร้างรายได้ปีละนับหมื่นล้านบาทเท่านั้น แต่เรายังเป็นแบรนด์ที่สร้างบุคลากร สร้างอาชีพ และสร้างเม็ดเงินจากการส่งออกเข้าสู่ประเทศอีกด้วย ทุกวันนี้เรามีพนักงานทุกส่วนงานร่วมหลายร้อยคน ซึ่งพนักงานส่วนใหญ่ก็ไม่ค่อยออกไปอยู่กับที่อื่น เพราะเราให้ความสำคัญกับเรื่องบุคลากร ผมมองว่าความสำเร็จของผมในวันนี้ไม่ได้เกิดจากความกล้าที่จะลงมือทำ หรือความตั้งใจทำงานของผมเท่านั้น แต่ผมมีทีมงานที่มีคุณภาพ อีกทั้งยังได้รับการสนับสนุนจากครอบครัว มีพันธมิตรที่ดี มีลูกค้าและสื่อให้การสนับสนุน ทำให้วันนี้บิวตี้ เจมส์ ยังยืนหยัดอยู่บนยอดพีระมิดได้ หลายๆ คนมักจะพูดกับผมว่า ‘สุริยน คือ บิวตี้ เจมส์’ ซึ่งนี่เป็นสิ่งผมภาคภูมิใจ และเป็นแรง ผลักดันให้ผมต้องตั้งใจทำทุกอย่างให้ดีที่สุด”
“ผมมองว่าความสำเร็จของผมเกิดจากความตั้งใจ มุ่งมั่น และลงมือทำอย่างต่อเนื่อง ที่ผ่านมาผมอยากทำนาฬิกา High Jewelry ผมก็ศึกษา และพัฒนาจนสามารถผลักดันนาฬิกาแบรนด์ BG ออกสู่ตลาด และได้การตอบรับจากกลุ่มลูกค้าที่ดีมากๆ นี่ก็เป็นหนึ่งในความภาคภูมิใจของผม ยิ่งทุกคนให้การยอมรับว่าบิวตี้ เจมส์ คือแบรนด์ระดับโลกภายใต้การเป็นตัวแทนของประเทศไทย ก็ยิ่งเป็นสิ่งที่น่าภาคภูมิใจ เพราะจริงๆ แล้วงานจิวเวลรีของผู้ประกอบการไทยที่มีหลายร้อยหลายพันแบรนด์ ล้วนมีคุณภาพ สวยงาม และมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่สวยไม่แพ้ใคร”