พญ.รุ่งไพลิน รัตนชีวร หรือหมอแยม เจ้าของและผู้บริหารสถาบันคลินิกความงาม “THOMAS CLINIC BY DR. YAM” ที่ทองหล่อ 2 โดยดูแลเรื่องผิวพรรณ ความงาม และ ANTI AGING รวมทั้งเธอยังได้บริหารงานที่ “THONGLOR CLINIC” ซึ่งเป็นคลินิกศัลยกรรมโดยแพทย์เฉพาะทางอีกหนึ่งแห่ง เธอบอกกับเราว่า การที่เธอสนใจเรื่องความสวยความงาม และการชะลอวัย ทำให้เธอตัดสินใจทำธุรกิจนี้และประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก แม้คลินิกจะมีชื่อเสียง แต่เธอเลือกที่จะเปิดคลินิกเพียงสาขาเดียว เพราะอยากดูแล รับฟังปัญหา และรักษาคนไข้ด้วยตัวเอง และตรงความต้องการของคนไข้มากที่สุด เป็นหัวใจของการทำธุรกิจให้ประสบความสำเร็จ
“ที่คลินิกของหมอจะไม่มีเซลล์ แต่จะมีเจ้าหน้าที่ที่เป็นพยาบาลวิชาชีพ คนไข้ทุกคนที่มารักษากับเราจะได้ปรึกษา และตรวจสุขภาพผิวกับหมอโดยตรง เพื่อให้วินิจฉัยปัญหาได้อย่างถูกต้อง และรักษาอย่างตรงจุด ใช้ยาและผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพดี เห็นประสิทธิภาพชัดเจน เพื่อประหยัดค่าใช้จ่ายให้กับคนไข้มากที่สุด ซึ่งยาบางตัวอาจจะมีราคาสูงแต่ก็มีคุณภาพที่ดี ทำให้คนไข้ไม่จำเป็นต้องซื้อคอร์สแพงๆ ซึ่งจะช่วยประหยัดเงิน และประหยัดเวลามากกว่า” “ส่วน Thonglor Clinic จะรับศัลยกรรมให้กับลูกค้าโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง ซึ่งจะมีแพทย์ศัลยกรรมตกแต่ง แพทย์หู ตา คอ จมูก รวมทั้งศัลยแพทย์ด้านตาที่สามารถปรับกล้ามเนื้อตาได้ โดยที่นี่จะมีนโยบายเดียวกับ THOMAS CLINIC ที่หมอจะดูแลคนไข้แบบ Case by Case เป็นแบบ Private และไม่มีการถ่ายภาพคนไข้ Before/After นอกจากเคสที่คนไข้จะอนุญาตเท่านั้น การบริหารงานของเราจะแตกต่าง จากคลินิกอื่นตรงที่เราไม่มีค่าการตลาด ไม่มีเซลล์เชียร์ขายบริการเพื่อเพิ่มยอดขาย รักษาแบบตรงจุด ไม่เลี้ยงไข้ ไม่ใช้สเตียรอยด์ หรือใช้ยาลดการแบ่งเซลล์ในการรักษาสิว ซึ่งทุกครั้งที่รักษา เราจะมองถึงความปลอดภัยของคนไข้มาเป็นอันดับหนึ่ง ที่นี่รักษาแบบ Conservative โดยใช้ยาให้น้อยที่สุด อะไรที่อาจส่งผลข้างเคียงก็จะไม่เลือกใช้ จะเน้นการรักษาที่ยั่งยืนมากกว่า” “ในปัจจุบันการรักษาผิวให้แข็งแรงและดูอ่อนกว่าวัยไม่ได้มีเฉพาะแค่การใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลผิว หรือใช้เครื่องมือรักษาเท่านั้น แต่ยังมีการให้บริการตรวจเลือด เช็กค่าการอักเสบ การให้ Nutrients สารละลายทางหลอดเลือดดำ การปรับฮอร์โมน การให้วิตามินและสารอาหารทางหลอดเลือดดำ เพื่อให้ผิวสวยกระจ่างใส รักษาโรคภูมิแพ้ ช่วยขับสารพิษและโลหะหนักออกจากร่างกาย และอื่นๆ ซึ่งขึ้นอยู่กับคนไข้ในแต่ละรายค่ะ”
“ทุกวันนี้ต้องยอมรับว่าธุรกิจดูแลและเสริมความงามในบ้านเรามีการเติบโต และมีการแข่งขันที่สูงมาก คลินิกที่มีสาขาเยอะๆ เขาก็จำเป็นต้องทำการตลาด ต้องมีเซลล์เข้ามาคุยเพื่อเพิ่มยอดขาย มีการทำตลาดออนไลน์ หรือมีพรีเซนเตอร์เพื่อดึงลูกค้ามาหน้าร้านเพื่อให้มีลูกค้าใหม่เข้ามาเพิ่มมากขึ้น ซึ่งจุดอ่อนก็คือคุณหมอจะคุยกับคนไข้แบบตัวต่อตัวในเบื้องต้นค่อนข้างยาก ทำให้คนไข้อาจได้วิธีการรักษาที่ไม่ตรงจุด เช่น การฉีดฟิลเลอร์ในบางจุดก็อาจจะไม่เหมาะกับการแก้ปัญหาผิวบางประเภท ทำให้เมื่อซื้อคอร์สแล้วก็อาจจะต้องซื้อเพิ่มเพื่อรักษาให้ตรงจุด ซึ่งทำให้เสียค่าใช้จ่ายมากขึ้น พอหมอมาทำคลินิกเองก็ตั้งใจว่าจะดูทุกเคสเองทั้งหมด ก็เลยทำแค่สาขาเดียว แม้รายได้อาจจะน้อยกว่าคลินิกที่มีหลายๆ สาขา แต่ลูกค้าจะเชื่อมั่นและอยู่กับเรายาวนานเป็นสิบปี และกล้าที่จะแนะนำคนรู้จักให้มารักษากับเรา เขาจะเชื่อมั่นในตัวหมอและคลินิก ซึ่งในอนาคตหากหมอย้ายคลินิกหรือทำคลินิกแบรนด์ใหม่ คนที่รู้จักหมอแยมก็จะมั่นใจในคุณภาพของการให้บริการทันที หมอมองว่านี่เป็นการทำธุรกิจที่ยั่งยืน” “ถ้าให้มองถึงนวัตกรรมใหม่ๆ ด้านความงามในปัจจุบัน โดยเฉพาะในเรื่องของ Anti Aging ก็จะมีการให้สารอาหารทางหลอดเลือดดำ การทำ Chelation ขับสารพิษ ตอนนี้ก็จะ NAD+ ซึ่งจะให้ พลังงานแก่ร่างกายได้ดี ทำให้ขบวนการเผาผลาญดีขึ้น นอนหลับดีขึ้น ส่วนสำหรับใบหน้าก็จะเป็นพวก Exosome ซึ่งว่ากันว่าดีกว่าการใช้ Stem Cell โดยตอนนี้มีหลายบริษัทนำเข้ามาให้เลือกใช้ได้อย่างเหมาะสม ทั้งช่วยเรื่องสีผิวที่กระจ่างใสขึ้น ผิวอิ่มน้ำมากขึ้น ริ้วรอยตื้นขึ้น ทุกครั้งที่มีผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ เข้ามาหมอก็จะพยายามทำความเข้าใจกับคนไข้ว่าเหมาะกับตัวเขาหรือไม่ เพราะการรักษาแต่ละเคสไม่เหมือนกัน รวมทั้งงบที่มีก็ต่างกัน การที่หมอคุยเองจะทำความเข้าใจ และเลือกได้ตรงจุดมากกว่า” “ถ้าถามว่าการบริหารงานคลินิกมีความท้าทายอย่างไร สิ่งที่ตั้งใจคืออยากทำธุรกิจให้ประสบความสำเร็จโดยที่เรายังมีหัวใจเป็นหมอ และหมอมองว่าเป็นหมอไม่ควรมาขายของ เมื่อตั้งใจว่าเราจะทำงานแบบแพทย์ เราก็ต้องมองคนไข้แบบแพทย์ในการรักษา ทำธุรกิจเรื่องเงินคือมันได้อยู่แล้ว ไม่อยากเป็นหมอที่เป็นนักธุรกิจจนเกินไป หมอถึงมีคลินิกแค่สาขาเดียว พอมีคลินิกใหม่ก็ทำคลินิกที่เป็นศัลยกรรมไปเลย ซึ่งในอนาคตอาจจะขยายสาขาของ THOMAS CLINIC ไปในต่างจังหวัด โดยจะใช้ทีมแพทย์จากจังหวัดนั้นๆ มาดูแลให้เหมือนกับสาขาที่หมอแยมดูแล” “นอกจากนี้หมอมองถึงการเปิดคลินิกแพทย์ทางเลือกที่ใช้สมุนไพรไทยในการรักษาโรคมะเร็ง ซึ่งหมอได้เข้าไปคุยกับทางกระทรวงสาธารณสุข เพื่อที่จะนำยา และสารสกัดที่ผ่านการรับรองแล้วมาเป็นทางเลือกในการรักษาโรค ควบคู่ไปกับการรักษาแบบแพทย์แผนปัจจุบันของคนไข้ เพื่อเป็นการลดการใช้สารเคมีในเคสที่คนไข้เป็นมะเร็งระยะสุดท้าย ส่วนใหญ่แพทย์ก็จะแนะนำให้ใช้สมุนไพรเพื่อ Quality of Life ที่ดีขึ้น ซึ่งตอนนี้ก็มีคลินิกหลายๆ ที่เปิดให้บริการในรูปแบบนี้ รวมทั้งจะมีแพทย์ให้คำปรึกษาและรักษาอาการอื่นๆ เช่น นอนหลับยาก ซึ่งเป็นการรักษาแบบ Holistic ให้กับคนไข้กลุ่มนี้ นี่ก็ถือเป็นความท้าทายก้าวต่อไปที่หมออยากจะทำ”