เรียกได้ว่าเป็นตำนานแห่งความสำเร็จของ “มาดามบิ๋ง-นันทมาลี ภิรมย์ภักดี” เซเลบริตี้สาวไฟแรงที่หลังจากนั่งแท่นตำแหน่งกรรมการผู้จัดการ บริษัท คาวาลลิโนมอเตอร์ จำกัด ใช้หลักในการบริหารงานแบบมืออาชีพ การปรับกลยุทธ์ทางการตลาดให้ทันกับทุกเหตุการณ์วิกฤติได้อย่างรวดเร็ว รวมถึงการสร้างความเชื่อมั่นที่ดีให้กับลูกค้ามายาวนานถึง 12 ปี ส่งผลทำให้ภาพลักษณ์ของแบรนด์ Ferrari ในวันนี้ก็ยังคงเป็นรถในฝันของใครหลายคนที่ประสบความสำเร็จ
จุดเริ่มต้นของการก้าวขึ้นมาเป็น “เจ้าแม่ Ferrari”
“ย้อนกลับไปเมื่อประมาณ 12 ปีที่แล้ว เป็นความบังเอิญที่สองครอบครัวมาร่วมทุนกัน คุณจ๊ะ วรวุฒิ ภิรมย์ภักดี (สามี) ได้มีโอกาสดูแลรถ FERRARI 456 ของคุณพ่อ คุณวุฒา ภิรมย์ภักดี ในการนำไปซ่อมบำรุง และได้ร่วมเป็นสมาชิกเฟอร์รารี่คลับในสมัยนั้น ซึ่งบิ๋งก็ได้ติดตามไปด้วย จนอดีตผู้นำเข้าได้ปิดตัวลง และได้ไปพบกับ คุณเฉลิม อยู่วิทยา พอดีค่ะ เขาก็ได้ติดต่อมาว่าสนใจนำเข้า Ferrari ไหม เลยเป็นจุดเริ่มต้นที่ชักชวนกันมาทำธุรกิจนี้ในมุมที่ 2 ครอบครัวเป็นนักธุรกิจใหญ่ของไทย เป็นเจ้าของรถ Ferrari แต่เพียงผู้เดียวในประเทศไทย บิ๋งก็ได้รับมอบหมายให้มาบริหารเต็มตัว ได้มาช่วยดูแลตั้งแต่ต้นเลยค่ะ”
“งานนี้มันต้องทำงานกับเมืองนอกตลอดเวลา ในการนำ Brand และ Corporate Identity รวมถึงนโยบายของ Ferrari เข้ามาสู่ประเทศไทย ในด้านการบริหาร สิ่งสำคัญคือการจ้างพนักงาน ให้เหมาะสมสำหรับตำแหน่ง และมีประสบการณ์ รวมถึงมีความสามารถ อีกทั้งต้องมีระบบที่ดีมีในองค์กร และมีการปรับตัวในแต่ละยุคของบริษัท พร้อมศึกษาเรียนรู้ในธุรกิจใหม่เพื่อการบริหารและการบริการที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น ตอนเปิดบริษัทเราเริ่มจากการมีพนักงานเพียง 5 คน จนกลายเป็น 10 คน มาถึงวันนี้มีพนักงาน 60 กว่าคน แต่ก็เหมาะสมกับปริมาณรถยนต์ในตลาดที่ต้องดูแล ซึ่งก็นับว่าไม่ได้ใหญ่มากแต่บริษัทโตขึ้น มีคนทำงานที่ครบวงจรมากขึ้นเพื่อที่จะตอบสนองลูกค้าให้ดีที่สุด”
บริหารธุรกิจแบบมืออาชีพ
“ในตอนแรกก็ต้องบินไปเมืองนอกบ่อยค่ะ ไปศึกษารายละเอียดจากการไปร่วมทุกงานของ Ferrari เขาก็จะพรีเซนต์รถ เครื่องยนต์ รายละเอียดต่างๆ เราก็เริ่มจะเข้าใจรายละเอียดเชิงลึก ถ้าเราอยู่ที่ออฟฟิศ
เราก็จะเรียนรู้อยู่กับทีมงานเราด้วยว่าที่ลูกค้าเข้ามาซ๋อมเกิดจากอะไร ชิ้นส่วนนี้เป็นยังไง เราก็จะทำงานควบคู่กับทีมไปด้วย การบริหารงานคือการบริหารองค์กรและทีมงาน สิ่งสำคัญก็คือ เราต้องจ้างคนที่มีความสามารถมาเป็นทีมงานมืออาชีพ
ซึ่งตอนที่เรายังเป็นบริษัทเล็กๆ เราก็จะมีคนกรุ๊ปหนึ่งที่เหมาะสมกับบริษัทเล็กๆ แต่พอวันนี้บริษัทเติบโตเราก็ปรับเปลี่ยนพนักงานให้เหมาะสมกับองค์กร ตอนนี้พนักงานครึ่งหนึ่งเป็นพนักงานใหม่ เราก็ปรับทีมให้เป็นคนที่เหมาะสม ที่จะพาเราไปอีกยุคหนึ่ง เป็นพนักงานที่มีความเป็นมืออาชีพกว่าทีมเริ่มแรก เต็มไปด้วยพลังความคิดสร้างสรรค์และทันกับเทคโนโลยี ในการบริหารเมื่อก่อนจะบริหารแบบเป็นครอบครัว แต่พอเป็นยุคนี้เราต้องบริหารอย่างเป็นอาชีพ”
ปรับกลยุทธ์ฝ่าพันให้ผ่านพ้นทุกวิกฤติ
“ในระหว่างทางที่เปิดมา 12 ปี เราก็ได้พา Ferrari ผ่านพ้นมาได้ทุกสถานการณ์ มีปีที่น้ำท่วมหนักเราก็จัดสถานที่ให้ลูกค้าที่อยุในพื้นที่เสี่ยงเอารถมาเก็บที่เรา เราก็ไปหาเช่าพื้นที่ที่่เป็นที่จอดรถของคอนโดหรือออฟฟิศเพื่อเอารถของลูกค้าเราไปจอด
ในปี 2562 เราก็ทำ ISO 14001 กับ 18001 และบังเอิญเป็นด้าน Health Safety and Environment เราก็เลยดึงฝั่ง Health เรื่องสุขอนามัยออกมาใช้ในสถานการณ์โควิด 19 สิ่งที่สำคัญที่สุดเราต้องสร้างความมั่นใจให้ลูกค้า เพราะว่าเราดูแลกลุ่มลูกค้า A++ ไม่ว่าจะเป็นสถานการณ์ไหนเราจะรีแอคค่อนข้างเร็ว เราต้องทำให้ลูกค้ารู้สึกได้ว่า คาวาลลิโน มอเตอร์ เป็นที่ที่ปลอดภัยที่สุดที่ลูกค้าจะมาฝากรถหรือแวะมาเยี่ยมเราในทุกสถานการณ์
เรามี safety officer อยู่ในพื้นที่ เราจัดให้บริษัทที่พ้นฆ่าเชื้อมาพ่นยาฆ่าเชื้อทุกสามสัปดาห์ และมีเครื่องพ่นเองทุกวันในการพ่นรถ พ่นในโชว์รูมเพื่อให้ลูกค้าทุกคนที่มาใช้บริการที่ศูนย์ของเราสบายใจ พนักงานทุกคนใส่แมสก์ตลอดเวลา เว้นระยะห่าง เราต้องแจ้งทีมงานว่าการ์ดอย่าตกนะ เราต้องดูแลลูกค้าหรือรถของเขาให้ดีที่สุดซึ่งตอนนี้ก็ตรวจโควิดไป 4 รอบแล้ว ตรวจทุกเดือนจนกว่าสถานการณ์จะดีขึ้น และทุกคนก็ปลอดเชื้อ 100% เราไม่ได้ตรวจแค่พนักงานเรานะคะ เราตรวจซัพพลายเออร์ของเราด้วย ทุกคนที่เข้ามาในพื้นที่เราก็จะให้เขาตรวจฟรีกับเรา ทำให้ลูกค้ามั่นใจแล้วรู้สึกปลอดภัยที่ได้เข้ามาในพื้นที่ศูนย์บริการของเรา
คว้ารางวัลสำคัญในระดับอินเตอร์เนชันนัล
“ในระหว่างทางเราก็ได้คว้ารางวัลมากมายจากเมืองนอก อาทิ รางวัล Dealer of The Year ของ South East Asia มา 2 ปีซ้อน คือปี 2014 กับ 2015 แล้วก็ได้รางวัล Global Awards ปี 2015 จากอิตาลี เป็นอันดับ 2 ของโลก และในปี 2016 – 2017 ก็ได้รางวัล Best Sales และ Best Marketing ของ South East Asia ก็สร้างความภาคภูมิใจ
Ferrari ไม่ใช่แค่รถหรู แต่เป็นวิถีชีวิต และความภูมิใจ
Ferrari ไม่ใช่แค่รถค่ะ แน่นอน Ferrari มีความสปอร์ตมากเพราะ Ferrari อยู่ใน F1 และมี Racing DNA ตรงนี้อันดับหนึ่ง ซึ่งมีประวัติศาสตร์กว่า 70 ปี จากการก่อตั้ง อันดับสองก็คือ เป็นแบรนด์ระดับโลกที่ได้รับรางวัล Most Powerful Brand in the World จากหนังสือ Brand Finance ถ้าหากพูดถึง Ferrari ก็จะมีความแข็งแกรง่ เหมือนมีพลัง มีออร่า แล้วก็มีความภาคภูมิใจในการเป็นเจ้าของรถ ความภูมิใจว่าเราได้มาลงทุนกับแบรนด์นี้ที่มีค่า
เรามุ่งมั่นที่จะดูแลลูกค้าและแบรนด์นี้ให้ดีที่สุด Ferrari มีเสน่ห์ ไม่ใช่แค่รถ แต่เป็นวิถีชีวิต เป็นความภูมิใจ และเป็นรางวัลชีวิตจริงๆ เพราะบางคนก็บอกว่าวันนี้ที่สร้างธุรกิจมาแล้วประสบความสำเร็จก็ฝันว่าอยากจะมี Ferrari ซักคันหนึ่ง แล้ววันนี้เขาก็มาซื้อ มีหลายคนเลยค่ะที่ได้มาครอบครอง เราไม่ได้ขายรถแต่เราได้ขายความฝันให้ด้วย ตอนนี้เราก็จัดทีมเพื่อให้ดูแลลูกค้าให้ได้อย่างเต็มรูปแบบ ทำทุกวันให้ดีที่สุดในการสร้างความประทับใจในทุกโอกาส ตัวบิ่งเองเลยพยายามจะส่งมอบรถให้กับลูกค้าเองทุกๆ คน เพื่อที่จะได้เจอลูกค้า ได้พูดคุย ได้เป็นคนมอบกุญแจให้ค่ะ”
โมเมนต์ความสุขในการทำงาน
ชอบตอนส่งมอบรถให้ลูกค้า เพราะแววตาที่เราเห็นมันเป็นความสุขความภูมิใจ เป็นรางวัลชีวิตจริงๆ ไม่มากก็น้อย มีหลายๆ ครั้งที่เจ้าของมารับรถเป็นของขวัญวันเกิด ซึ่งเป็้นเรื่องน่าประทับใจ บางคนรับรถในวันเกิดเราก็จะจัดงานวันเกิดให้ในวันรับรถ เคยมีสามีมาซื้อให้ภรรยาในวันวาเลนไทน์
เพื่อเซอร์ไพรส์ ก็เลยรู้สึกว่าโมเมนต์ต่างๆ มันเป็นความพิเศษ และมีความหมาย ตัวบิ๋งเองกับทีมก็ต้องเก็บรายละเอียดพวกนี้ให้หมด เพื่อที่จะสร้างความประทับใจให้กับลูกค้าในทุกๆ โอกาส เพราะแน่นอนถ้าเราสร้างความประทับใจได้ เขาก็จะกลับมาอีกครั้งและแนะนำเพื่อนของเขามาด้วย จะมีแต่การอยากได้ Ferrari เพิ่มขึ้นเหมือนเป็นการสะสม หรือการเปลี่ยนรุ่น เราก็ดูแลให้รู้สึกพิเศษเท่ากันทุกคน แต่แน่นอนพอฐานลูกค้าเราเริ่มเยอะขึ้น เราก็ต้องคอยเก็บรายละเอียดให้มากขึ้น เพราะเราไม่ได้มีโอกาสได้คุยกับทุกคนทุกวัน อาจจะได้เจอตอนเขาเอามาซ่อมบำรุงบ้าง ตอนส่งมอบบ้าง ก็เลยต้องสร้างความประทับใจทุกๆ โมเมนต์”