บี – น้ำทิพย์ ตัวแม่สุดสตรอง เพราะรักจึงเลือก

0
206

“บนพระจันทร์มีกระต่าย” ละครเรื่องล่าสุดที่นางเอกตัวแม่มากความสามารถอย่าง บี – น้ำทิพย์ จงรัชตวิบูลย์ หวนคืนจอคัมแบคกลับมารับบท “แอนนิต้า” นักธุรกิจสาวชาวจีนสุดเฟียร์ส หนึ่งในบทบาทสุดท้าทายจนเจ้าตัวยอมทุ่มหมดหน้าตักกับการพลิกคาแรคเตอร์ใหม่หมดลบภาพจำแบบเดิมที่เคยมีมา

“สำหรับตัวละคร “แอนนิต้า” ใน “บนพระจันทร์มีกระต่าย” ตอนแรกๆ ที่รับบทนี้ ตัวบีเองยังไม่ค่อยเข้าใจในตัวละครสักเท่าไหร่ แต่พอบีเริ่มเล่นไปเรื่อยๆ ก็เริ่มอินกับคาแรคเตอร์ และรู้สึกว่าเราชื่นชอบและรักตัวละครตัวนี้มากๆ ซึ่งจริงๆ แล้วแอนนิต้าจะเป็นคนจริงใจและทุ่มเทให้กับความรักมากๆ ผู้หญิงคนนี้สตรองมาก เป็นคนขยัน เป็นคนขนขวาย เป็นผู้หญิงที่สู้ชีวิตมาก่อนที่จะประสบความสำเร็จอย่างทุกวันนี้ และเป็นผู้หญิงที่ประสบความสำเร็จด้วยตัวของเขาเองจริงๆ ถามว่าความท้าทายอยู่ตรงไหน ในเรื่องแอนนิต้าเป็นคนที่เกิดและโตอยู่ในประเทศจีนและเวลาพูดภาษาไทยก็ต้องพูดไม่ชัดเพราะเราเล่นเป็นคนจีน ต้องพูดภาษาจีนให้ชัดกว่าพูดภาษาไทย เนี่ยแหล่ะความท้าทายของการที่บีเล่นเป็นตัวละครแอนนิต้า”

“ละครเรื่องบนพระจันทร์มีกระต่าย จะพูดเกี่ยวกับความรัก ถามว่าชีวิตเราในปัจจุบัน เรามีความเชื่อมากแค่ไหนว่า ในโลกนี้ยังมีรักแท้อยู่ ละครเรื่องนี้กำลังจะบอกว่า ในพาสของพระเอกนางเอก สำหรับพวกเขาก็น่าจะเป็นรักแท้ แต่เป็นรักแท้ที่จะต้องฝ่าฟันอุปสรรคหลายๆ อย่าง ซึ่งเมื่อคบกันแล้วต้องเจอที่บ้านกีดกัน หรือ ปัญหาด้านการเงินที่จะต้องฝ่าฟันไปด้วยกัน แต่ก็ให้พิสูจน์กันว่า บนพระจันทร์จะมีกระต่ายจริงๆ ไหม หรือ รักแท้ของเขาจะสามารถทำให้คบกันไปได้ตลอดรอดฝั่งจริงๆ ไหม ด้วยอาชีพการงานของผู้ชายด้วยที่เขาเป็นเด็กโฮสต์ ส่วนตัวบีคิดว่า อาชีพนี้ไม่ได้น่ารังเกลียดอะไร ทุกอาชีพถ้าเราให้เกียรติกับตัวเราเอง บีคิดว่าคนรอบข้างที่เขาเห็นเราทำอาชีพอะไร เขาก็จะให้เกียรติเราเหมือนกัน ฉะนั้นเราต้องมุ่งมั่นและมีจรรยาบรรณในการทำงานของเราอย่างชัดเจน”

ถ้า “บนพระจันทร์มีกระต่าย” เล่าเรื่องราวของการตามหารักแท้ แล้วความรักในมุมของคุณเป็นอย่างไร “สมัยเด็กๆ เวลาเรามองพระจันทร์แล้วรู้สึกว่า เราเห็นกระต่ายอยู่บนพระจันทร์ แล้วบนพระจันทร์มีกระต่ายจริงๆ หรอ เพราะเรายังไม่เคยรู้ว่า จริงๆ แล้วบนพระจันทร์มีอะไร ก็เปรียบกับความรัก เราจินตนาการว่าความรักคงต้องมีรักแท้ ต้องมีใครสักคนที่เป็นคู่ชีวิตของเรา แต่พอ ณ ตอนนี้ เราโตขึ้น เรามีความรู้มากขึ้น เราจะรู้ว่าบนพระจันทร์ไม่มีกระต่าย แต่บนพระจันทร์มีแต่หลุมดำ ฉะนั้นสิ่งที่ต้องเรียนรู้คือความเป็นจริง อยู่กับความเป็นจริง รักแท้อาจจะมีแต่ว่ากว่าเราจะเจอหรือคบกันจนแก่หรือเปล่าอันนี้เป็นเรื่องของอนาคต ซึ่งเราเองก็ไม่รู้ รู้เพียงแค่ว่าเราต้องอยู่กับความเป็นจริงและทำวันนี้ให้ดีที่สุด และถ้าเรามีแฟนเราต้องซื่อตรงกับแฟน เหมือนเราต้องคิดว่า เรากับเขาเป็นคนคนเดียวกัน ทุ่มเทให้ทั้งใจแต่ว่าสุดท้ายแล้วถ้าต้องเสียใจหรือไม่Happy Endingก็ตาม เราก็ต้องอยู่กับความเป็นจริงให้ได้ เพราะนี่คือโลกความเป็นจริง”

พอถามถึงเรื่องแพสชันในการทำงาน นางเอกสุดสตรองบอกว่า “แน่นอนทำงานในวงการบันเทิงต้องมีความตั้งใจในการทำงาน ส่วนแพสชันบางทีคนเราทำงานไปเรื่อยๆ แพสชันอาจจะหมดได้ อย่างตัวบี เคยมีจุดที่ทำงานทุกวัน จนวันหนึ่งรู้สึกว่าแพสชันในการทำงานเริ่มหายไป ตรงนี้ก็เคยเกิดขึ้น แต่ว่าเราต้องพยายามไปเติมให้รู้สึกผ่อนคลาย ไปเที่ยว ไปหาอะไรทำบ้างเพื่อพอเรากลับมา เราจะได้มีแพสชันกับงานของเรา และเลือกทำในงานที่เหมาะกับเราจริงๆ อะไรที่เราทำแล้วรู้สึกว่าฝืนหรือไม่ชอบ เราจะทำได้ไม่นาน แต่อะไรที่เราทำแล้วเรารู้สึกมีความสุข เราจะทำไปได้เรื่อยๆ แล้วเดี๋ยวจะมีเหตุผลเองว่า เราทำไปเพื่ออะไร”

“สำหรับตอนนี้ยุคของบีเหมือนเราทำงานมาเยอะแล้ว พอถึงจุดหนึ่งอย่างละครเรื่องบนพระจันทร์มีกระต่าย บีก็หาสิ่งที่เป็นแพสชันสำหรับตัวบีเอง อย่างหาคาแรคเตอร์ใหม่ๆ พอเราไปเล่นช่วงแรกๆ อาจจะงง แต่พอเล่นไปแล้วเรารู้สึกชอบในคาแรคเตอร์นี้ ก็จะอินแล้วก็จะรู้สึกว่า เราสนุกและตื่นเต้นทุกครั้ง เวลาจะถ่ายซีนแต่ละซีนที่เป็นแอนนิต้าเราจะอินเข้าไปเอง แล้วโชคดีที่เราเจอทีมที่ดีด้วย โชคดีที่อยู่กองนี้เรารู้สึกว่าทีมงานดี ทุกคนรู้หน้าที่ของตัวเอง พี่กู่ผู้กำกับก็ฝีมือเก่งมาก จริงๆ บีเคยร่วมงานกับพี่กู่มาก่อนตอนถ่ายมิวสิควีดีโอของพี่อ๊อฟ ปองศักดิ์ ตอนนั้นไม่ได้คุยอะไรกันเลย แต่พอเรื่องนี้เหมือนเราได้คุยกันมากขึ้น ทำให้บีรู้เลยว่าทำไมผลงานเขาถึงดี เพราะเขาคิดอยู่ตลอดเวลา เขามีภาพอยู่ในหัวตลอดว่าเขาต้องการอะไรจากนักแสดงในซีนแต่ละซีน เลยทำให้คนที่เป็นนักแสดงรู้สึกว่า ทำงานด้วยง่าย เพราะเราเข้าใจเขาและเขาเข้าใจเรา เลยทำให้การทำงานค่อนข้างสนุกเป็นทีมที่สนุกที่สุดตั้งแต่เคยร่วมงานมา”

เสน่ห์ของวงการบันเทิง ส่วนตัวคิดว่า “ทุกอย่างมีเสน่ห์ด้วยตัวของมันเอง อยู่ที่ว่าเราจะหยิบจับอะไรและเราชอบตรงไหน แต่ว่าอะไรที่บีรู้สึกว่าไม่เอา ไม่ชอบจริงๆ คือ จะไม่เอาเลยเหมือนกัน เป็นคนค่อนข้างทำอะไรที่เรารู้สึกแฮปปี้และรู้สึกรัก”

เรียกว่าผ่านมากับทุกเรื่องราวการดราม่า กระแสข่าวต่างๆ อยากทราบวิธีการรับมือกับสิ่งเหล่านี้ “ต้องบอกก่อนว่า บีอยู่ในวงการบันเทิงมามีทั้งข่าวดีและข่าวไม่ดี มีคนที่ด่าเรา มีคนที่ชอบเรา มีคนที่ไม่ชอบเรา แล้วบีเป็นแบบนี้มาตั้งแต่เข้าวงการจนถึงทุกวันนี้ บีเลือกโฟกัสในสิ่งที่เป็นพลังบวก ถ้าพลังลบจะไม่ค่อยไปยุ่งเท่าไหร่ เป็นคนที่ชัดเจนไม่เอาคือไม่เอา ตัดเลย แต่ถ้าเป็นการวิจารณ์เกี่ยวกับเรื่องงาน ว่าเราแสดงไม่ดี แสดงแย่ไม่สวยเลย ถ้าเรารู้ตัวว่าเราแสดงไม่ดีจริง บีก็จะรีบปรับปรุง แต่ถ้าเกิดอะไรที่เรารู้สึกว่าไม่ใช่มีเรื่องส่วนตัวเข้ามาที่ไม่เกี่ยวกับงาน บีก็จะเริ่มรู้สึกว่าอะไรที่ไม่สำคัญ บีจะไม่เอามาใส่ใจ เพราะบีคิดว่าเป็นเรื่องของความรู้สึกของคนที่มาเล่นกับความรู้สึกของเรา และเราต้องใช้ตรงนี้ในการทำงาน ฉะนั้นเราต้องแข็งแรงมากตรงนี้ ไม่อย่างนั้นเราจะอยู่ในวงการได้อย่างไม่มีความสุข”

ในมุมของการเป็นเจ้าของกิจการ กับการเริ่มต้นทำธุรกิจด้านสุขภาพและความงามเป็นการต่อยอดมาจากการทำงานในวงการบันเทิง “ความที่ตัวบีเองอยู่ในวงการบันเทิงมานาน ลองผิดลองถูกมาเยอะ เคยทำธุรกิจมาหลายธุรกิจจนกระทั่งตอนนี้มาลงทุนทำ Glow Plus Wellness เป็นธุรกิจ Wellness ด้านสุขภาพและความงาม โดยให้บริการการรักษาผิวพรรณ ความงาม การดูแลสุขภาพที่ดีจากภายในสู่ภายนอกแบบ Personalized อยู่ที่พัทยา เหตุผลที่สนใจมาทำธุรกิจนี้เพราะด้วยความที่บีทำงานอยู่ในวงการมานานแล้วเราต้องดูแลตัวเองในเรื่องนี้มาตั้งแต่อายุยังน้อย และการที่เราจะสามารถยืดอายุความสวยให้ได้ยาวนานนั่นคือ anti -aging การที่เราต้องดูแลจากข้างใน ถ้าข้างในเราดี ข้างนอกก็จะดีตาม ตรงนี้เลยเป็นจุดที่ทำให้บีสนใจธุรกิจทางด้านนี้”

“การทำธุรกิจด้านสุขภาพและความงาม ต้องบอกเลยว่าท้าทายมาก เพราะการทำธุรกิจด้านนี้ คือ การที่ลูกค้าต้องไว้วางใจในสิ่งที่เราทำ และเราต้องสร้างความเชื่อมั่นว่าของเราดี เราใช้ของดี เราไม่หลอกลูกค้า เป็นสิ่งที่ทำแล้วลูกค้ารู้สึกว่าเห็นผลจริงๆ ฉะนั้นของที่เราใช้รับรองว่าเป็นของพรีเมี่ยมแล้วก็เป็นของดีแน่นอน ที่สำคัญราคาไม่แพงเป็นราคาที่จับต้องได้ เพราะอยากให้ลูกค้าทุกคนที่เข้ามาใช้บริการมีสุขภาพที่ดีกลับไป และ Glow Plus Wellness เรามีทีมที่ให้คำปรึกษาจากคุณหมอและผู้เชี่ยวชาญทางด้านนี้โดยตรง”

“เห็นทำงานหนักแบบนี้ วันพักผ่อนของบีคือพักจริงๆ ในเมื่อทำงานเยอะเราก็เที่ยวเยอะ เที่ยวในที่นี้หมายถึงว่าออกทริปไปดำน้ำ เล่นสกี ไปต่างประเทศ หรือ ถ้าเป็นทริปสั้นๆ ก็ไปเที่ยวต่างจังหวัด เพื่อที่บางทีทำงานเยอะๆ แล้วเราคิดเรื่องงานเยอะ เลยจะมีช่วงที่เราเบรคแล้วพักไปเที่ยวเพื่อผ่อนคลาย อย่างการไปดำน้ำตรงนี้มีประโยชน์เพราะการดำน้ำเหมือนการนั่งสมาธิ เป็นการกำหนดจิต หายใจเข้าหายใจออกอย่างช้าๆ ต้องไม่ตื่นเต้น ต้องมีสมาธิอยู่กับตัวเอง และพอเรากลับมาทำงานกลายเป็นเรานิ่งมากขึ้น และเราโฟกัสกับงานมากขึ้น”

“ทุกวันนี้ความสุขคือการที่ตื่นขึ้นมาแล้วได้ทำในสิ่งที่ตัวเองรัก และเราได้อยู่กับคนที่รักเรา เหมือนตอนเราเด็กๆอารมณ์ความรู้สึกของเราก็จะเป็นอีกแบบหนึ่ง แต่พอเราโตขึ้นเรารู้สึกว่า จริงๆ แล้วชีวิตคนเราไม่ได้ต้องการอะไรมากเลย แค่มีคนที่เรารัก มีเพื่อนที่เรารัก มีอาชีพการงานที่เราตื่นมาแล้วยังได้ทำงาน และที่สำคัญต้องมีสุขภาพที่แข็งแรง”

Facebook Comments

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่

This site uses Akismet to reduce spam. Learn how your comment data is processed.