หากเอ่ยชื่อ คุ้ย – ทวีวัฒน์ วันทา หลายคนคงคุ้นเคยชื่อนี้กันอยู่แล้วในฐานะผู้กำกับฝีมือระดับตำนาน ผู้สร้างปรากฏการณ์กำกับภาพยนตร์ “ธี่หยด” ทั้ง 2 ภาคกวาดรายได้รวมกว่า 1,200 ล้านบาท วันนี้ไม่ได้มาในฐานะผู้กำกับเท่านั้นแต่ยังพ่วงตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เธอทีน สตูดิโอ จำกัด หรือ 13 สตูดิโอ ค่ายหนังน้องใหม่ที่ผลิตหนังผีแนวสยองขวัญและระทึกขวัญ
Attack วิญญาณเลขที่ 13 ภาพยนตร์เปิดโปรเจตก์ของบริษัท เธอทีน สตูดิโอ จำกัด หรือ 13 สตูดิโอ ค่ายหนังน้องใหม่ ภายใต้การบริหารงานโดย คุ้ย – ทวีวัฒน์ วันทา ในฐานะประธานเจ้าหน้าที่บริหาร “ตอนนั้นเป็นช่วงหยุดพักระหว่างถ่าย ธี่หยด 2 ได้มีโอกาสมาคุยกับ เฮียจุ้ย พระนครฟิลม์ เขาชวนผมมาทำ แร้งวัดสระเกศ เปรตวัดสุทัศน์ รู้สึกว่าโปรเจกต์นี้น่าจะมีความแปลก และเฮียก็คุยอีกโปรเจกต์ เฮียมีภาพเกี่ยวกับนักกีฬาวอลเลย์บอลที่มาฆ่าตัวตายที่ใต้แป้นบาส พอผมมานั่งคิดก็นึกถึงประเด็นเรื่องของการบูลลี่ ก็บอกกับเฮียถึงประเด็นนี้ไว้ว่า ถ้ามองอีกมุมปกติเราจะเข้าใจว่า คนที่โดนบูลลี่จะต้องกลายเป็นผีมาแก้แค้น แต่ถ้ามองมุมกลับ คนที่เป็นคนบูลลี่แล้วกลายเป็นผีจะบูลลี่โหดขนาดไหน จึงเกิดเป็นโปรเจกต์นี้ขึ้นมา นั่งคิดแล้วน่าจะสนุก จนถูกพัฒนาหลังจากปิดกล้องธี่หยด 2 ก็ถูกพัฒนามาเป็นบทแล้วก็เริ่มถ่ายทำ”
ถามถึงความพิเศษของภาพยนตร์เรื่องนี้ “มองว่าเป็นหนังสยองขวัญวัยรุ่น ซึ่งจริงๆ บริษัท เธอทีน สตูดิโอ จำกัด เน้นผลิตแต่หนังระทึกขวัญและสยองขวัญวัยรุ่น เรามีคาแรกเตอร์ที่ชัดเจนเน้นขายไอเดียและพูดถึงประเด็นวัยรุ่นในยุคนี้ จะเล่าถึงประเด็นอะไรต่างๆ ในวัยรุ่น แล้วพูดถึงความสยองขวัญ จะไม่พูดถึงปัญหาสังคม เด็กติดยาเสพติด เด็กท้องก่อนแต่ง เด็กมีปัญหาสังคม เราจะพูดประเด็นในเรื่องของการบูลลี่ เด็กที่ต้องการมีตัวตนในสังคม เด็กที่อยู่ในห่วงโซ่อาหารเขาอยู่ชั้นต่ำสุด เขาจะทำยังไงเพื่อจะอยู่ชั้นสูงสุดเพื่อจะได้มีตัวตน”
พอถามถึงการคาดหวังกับ Attack วิญญาณเลขที่ 13 เมื่อเทียบกับรายได้ของภาพยนตร์ธี่หยดทั้ง 2 ภาค “สำหรับภาพยนตร์เรื่อง Attack วิญญาณเลขที่ 13 จะเป็นอีกไทป์หนึ่ง ส่วนธี่หยดเป็นภาพยนตร์ที่เราเห็นอยู่แล้วว่าเป็นภาพยนตร์ที่มุ่งจะเอารายได้ 500 ล้านบาท เป็นหนังผีเถิดเทิง แต่เรื่อง Attack วิญญาณเลขที่ 13 จะไม่ใช่แนวนั้น เรื่องนี้เป็นหนังผีวัยรุ่นอีกแนวหนึ่งของภาพยนตร์ (Genre) เป็นแนวสยองขวัญและเป็นการเปิดตัวโปรเจตก์แรกของบริษัทและจะทำให้เห็นว่า นี่คือทิศทางของบริษัท เธอทีน สตูดิโอ จำกัด”
ในฐานะคนทำหนังมองว่าภาพยนตร์ไทยในปัจจุบันมีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรบ้าง “ตอนนี้หนังไทยมีการเปลี่ยนแปลงและแอ็กทีฟตลอด แล้วก่อนหน้านี้หนังของพี่เจ้ย อภิชาตพงศ์ ก็ได้รับรางวัลที่เมืองคานส์ หนังไทยเราก็ตามเทรนด์โลกมาตลอด สิ่งที่ทำตอนนี้คือ น่าจะเป็นเรื่องของหนังที่มีความเป็น Blockbuster มากขึ้น แต่ก่อนเราจะตีตลาดด้วยหนังดราม่า หนังอาร์ต ตอนนี้จะมีความเป็นหนัง Blockbuster แต่ Blockbuster ของไทยเราเคยเริ่มมาตั้งแต่ องค์บากแล้วก็เงียบไปอาจจะเป็นเรื่องของพิษเศรษฐกิจ แต่ตอนนี้ตลาดต่างประเทศก็หันมามองมากขึ้น ถ้าเราไป Genre แบบนั้นอาจจะต้องมีเอกลักษณ์ของความเป็นวัฒนธรรมไทยเพื่อไปตลาดโลก”

มองการแข่งขันของตลาดหนังไทยในบ้านเราเป็นอย่างไร “จริงๆ แล้วมีการแข่งขันที่สูง แล้วก็เจ็บตัวสูงด้วยเช่นกัน ยิ่งปีที่ผ่านมาน่าจะเป็นปีที่โหดร้าย เป็นปีที่จะมีหนังที่ได้เงินและไม่ได้เงิน เซ็นเตอร์ตรงกลางจะน้อยมาก ปีนี้ก็ไม่ต่างจะยังโหดอยู่ ฉะนั้นต้องวัดกันว่าจะทำยังไงที่จะเรียกคนมาดู แค่ตัวหนังผมว่าให้แข่งกันเองไม่เท่าไร ยิ่งมีเยอะยิ่งดี แต่ถ้าแข่งกันเพื่อเรียกให้คนเข้ามาดูได้ผมว่าตรงนี้โอเค”
อะไรคือจุดแข็งของตลาดหนังไทย “สำหรับหนังไทยตอนนี้ยังดีอยู่ ดั่งประโยค “คนไทยยังไงก็อยากดูหนังไทย” ยังคงเป็นอย่างนั้นอยู่ เพียงแค่เราต้องทำหนังที่เขาอยากดู (แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่าคนดูอยากดู) ไม่มีใครรู้เลยตรงนี้ ทุกคนหาสูตรนี้ไม่ได้ เพราะจริงๆ หนังเรื่องหนึ่งคือการคาดเดาอนาคต 1 ปี เราไม่สามารถที่คิดแล้วพรุ่งนี้หนังเข้าฉายได้เลย ฉะนั้นสิ่งที่คุณคิดได้คืออีก 1 ปีที่หนังจะฉาย อาจจะเชย อาจจะพัง เหมือนเป็นการเดาว่าสิ่งนี้อาจจะเป็นมวลรวมที่คนสนใจ”
ในอนาคตคาดหวังให้ตลาดหนังไทยเติบโตไปอย่างไร “มองในแง่ดีก็อยากให้หนังไทยโต อยากให้มีผู้กำกับและคนทำหนังรุ่นใหม่เกิดขึ้นมาเยอะกว่านี้ ตอนนี้ยังมีน้อยมาก เพราะผมเชื่อว่าคนใหม่ๆ จะต้องมีมุมมองใหม่ๆ มีความสดใหม่ แล้วก็มีไอเดียที่ล้ำ อย่างผมจะอยู่ในยุค Old School ไม่ได้กลัวว่าเราจะคิดอะไรไม่ออก แต่ไอเดียเราจะยังสดอยู่หรือเปล่า ก็คาดหวังคนรุ่นใหม่ๆ”