คุณแนน-รัชชต เศรษฐ์วรเดช นักธุรกิจ และ CEO มากความสามารถ ปัจจุบันเธอดูแลธุรกิจทั้งที่สานต่อจากครอบครัว และลงทุนเอง อย่างการดำรงตำแหน่งเป็น กรรมการผู้จัดการออโต้แพร์ กรรมการผู้จัดการบริษัท อีลิท โซไซตี้ จำกัด รวมทั้งยังเป็นผู้ร่วมลงทุนธุรกิจร่วมกับบริษัท Start-up เกี่ยวกับธุรกิจเทคโนโลยีด้านไอที ทำธุรกิจด้าน PR ด้านการตลาด เป็นที่ปรึกษาด้านการพัฒนาคน และธุรกิจยุคใหม่ให้กับบริษัทชั้นนำ ลงทุนใน Tech Company อยู่หลายบริษัททั่วโลก รวมทั้งยังหุ้นกับเพื่อนจำหน่ายรังนก ขายอุปกรณ์เครื่องเขียน ขายอะไหล่รถ ขายคอนโดฯ ล่าสุดยังทำธุรกิจโรงแรมใจกลางเมือง กว่า 20 ปีที่คุณแนนยังคงมุ่งมั่นสร้าง และลงทุนธุรกิจใหม่ๆ เพราะด้วย Passion และความรู้สึกตื่นเต้นทุกครั้งที่ได้ทำงานใหม่ๆ แม้วันนี้ธุรกิจและชีวิตของเธอเรียกว่า “ก้าวมาถึงจุดที่ Success แล้ว” แต่เธอก็ตั้งใจจะทำงานต่อไปเรื่อยๆ เพราะงานคือความสุข คือสิ่งที่ช่วยขับเคลื่อนเธอให้เติบโต และมีพลังอย่างเต็มเปี่ยม
“แนนเริ่มทำธุรกิจตั้งแต่อายุ 23 ก่อร่างสร้างทุกอย่างด้วยตัวเอง ส่วนตัวทำธุรกิจค่อนข้างหลากหลาย ซึ่งแนนมองว่าเป็นเรื่องของโอกาสที่เข้ามา ธุรกิจแรกที่เริ่มทำคือ Service Office หรือออฟฟิศให้เช่า ซึ่งมีลักษณะเหมือน Co-Working Space ในปัจจุบัน ซึ่งส่วนตัวมีโอกาสได้ไปศึกษาต่อที่อเมริกา ทำให้สนใจที่จะเปิดพื้นที่ให้เช่าแบบนี้ในเมืองไทย หลังจากนั้นมีโอกาสก็ลงทุนทำธุรกิจใหม่ๆ เพราะรู้สึกสนุกกับการได้ทำงาน ได้เจอผู้คนใหม่ๆ อย่างการเปิดบริษัทรับจัดงานอีเวนต์ และทำ PR ให้กับหน่วยงานภาครัฐ ทำธุรกิจด้านมาร์เก็ตติ้ง พอทำมาเรื่อยๆ ก็ทำออนไลน์มาร์เก็ตติ้ง อย่างธุรกิจครอบครัวทำเกี่ยวกับอะไหล่รถยนต์ ปกติก็ขายเฉพาะออฟไลน์ เมื่อตลาดเปลี่ยนก็เราก็หันมาจับการตลาด ถ้าเห็นโอกาสก็จะทำทันที เพราะแนนเป็นคนที่ไม่ชอบอยู่นิ่ง วันนี้เป็นเรื่องที่ว่าด้วยเรื่องดิจิตอล เราก็ปรับธุรกิจให้มาทางด้านนี้มากขึ้น เพื่อให้ธุรกิจน่าสนใจ และทันสมัยมากยิ่งขึ้น เราขายอะไหล่รถยนต์ปลีก และส่งผ่านช่องทางออนไลน์มากขึ้น จนสามารถทำธุรกิจร่วมทุนกับต่างชาติได้”
“นอกจากนี้แนนยังทำธุรกิจฟินเทค ซึ่งให้บริการกับธนาคารมากกว่า 10 แบรนด์ หรืออย่างบริษัทอีเวนต์ก็มีการทำเทคโนโลยี Zipe Event ซึ่งมีทั้งระบบ Registration & Ticket-Selling ระบบบริการ On-Site & In-Site ซึ่งมีทั้งตู้คีออสและอุปกรณ์ในการสแกน QR Code เข้างาน ไล่เรียงไปจนถึงการหาบุคลากรในการจัดงานอีเวนต์ ซึ่งได้ร่วมมือกับพันธมิตรรุ่นใหม่ รวมทั้งได้ร่วมมือกับ Start-up รุ่นใหม่ทั้งธุรกิจฟินเทค ธุรกิจเข้าคิวที่เราทำระบบนำมาใช้กับการลงทะเบียนในงานอีเวนต์ โดยเราได้เข้าไปทำ Business Model และวางธุรกิจใหม่ๆ เพื่อไม่ให้ธุรกิจเราตกยุค”
“หลายคนถามบ่อยมากว่าทำไม แนน-รัชชต ทำงานเยอะจัง เหนื่อยไหม เอาเวลาไหนพักผ่อน ก็ต้องบอกว่า การทำงานคือ Passion ของชีวิต แนนรู้สึกว่าตื่นขึ้นมาแล้วต้องทำงาน ต้องสร้างประโยชน์ให้กับผู้คนรอบข้าง ให้ลูกค้า ทีมงาน ผู้คนทั่วไป หรือแม้แต่ประเทศชาติ แนนถูกปลูกฝังมาตลอดว่า ‘วันไหนถ้าเรากินข้าว เราก็ต้องทำงาน’ คุณพ่อจะสอนแนนมาตลอดให้ขยัน ประหยัด อดทน จน 3 คำนี้มันอยู่ในสายเลือด ทุกวันที่ทำงานไม่รู้สึกเหนื่อยเลย เพราะรู้สึกว่าการได้ทำงานใหม่ๆ ก็เหมือนการได้เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ การที่ทำงานเกี่ยวกับเทคโนโลยี ทำให้แนนเจอกับเด็กๆ รุ่นใหม่ๆ ซึ่งเก่งมาก แนนก็ได้เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ จากพวกเขา การทำธุรกิจใหม่ก็ถือว่าเป็นการเพิ่มพูนความรู้ให้กับตัวเอง แนนทำงานเพราะสนุก พอสนุกเราก็ไม่เหนื่อย ทีมงานของบริษัทเรามีคุณภาพ ระบบดี ยิ่งทำให้บริษัทขับเคลื่อนไปได้ในทิศทางที่ดี ผู้บริหารก็มีเวลามากขึ้น ซึ่งก็ต้องขอบคุณพวกเขาด้วยเช่นกัน”
“สำหรับสไตล์การบริหารงานของแนนจะเป็น Co-Management และต้อง Open Conversation ทุกคนสามารถเดินเข้ามาคุยกับผู้บริหารได้ตลอด ทุกคนสามารถเสนอไอเดีย แชร์ความคิดเห็นได้ตลอด และตัดสินใจข้อมูลจากดาต้า ไม่ว่าเราจะตัดสินใจอะไรจะไม่ใช้ประสบการณ์หรือความรู้สึก แต่ต้องใช้ข้อมูล เพราะเดี๋ยวนี้โลกมันเปลี่ยนไปไวมาก อะไรที่เราทำแล้วไม่เวิร์ก วันนี้มันอาจจะเวิร์กก็ได้ และในฐานะผู้นำ เมื่อเรามี ‘ลูกน้อง’ เราก็ต้องรักเขาเหมือน ‘ลูก’ และดูแลเขาเหมือน ‘น้อง’ เพื่อให้เขาทำงานอยู่กับเราไปนานๆ ‘เราเชื่อในเรื่องของทีมเวิร์ก’ ถ้าเราดูแลลูกน้องดี เขามีความสุข เขาก็จะส่งพลังผ่านผลงาน ถ้าลูกน้องมีความสุข เขาก็ตั้งใจทำงาน ธุรกิจก็เติบโต”
“การที่แนนทำอะไรประสบความสำเร็จไม่ใช่แค่โชคช่วย แต่ต้องทำทุกอย่างด้วยตัวเอง จะเป็นระบบ หรือขั้นตอน แนนเองก็ต้องศึกษา และทดลองการใช้อย่างตั้งใจ ต้องสร้างระบบให้เหมาะสมกับองค์กร ถ้าถามแนนว่ามี Plan หรือสนใจจะลงทุนทำธุรกิจอะไรในอนาคตไหม ตอนนี้ก็คงตอบไม่ได้ เพราะไม่เคยวางแพลนไว้เลย ส่วนใหญ่จะเป็นการลงทุน เมื่อเราเห็นว่าธุรกิจที่เราไปเจอน่าสนใจ แนนเชื่อมาตลอดว่าคนเราไม่ได้เก่งทุกอย่าง และไม่สามารถทำอะไรได้คนเดียว แต่เราต้องรู้ว่าเราจะไปทำอะไรแล้วดี เราก็ใช้จุดแข็งไปเติมเต็มให้กับพันธมิตรของเราค่ะ การเปิดบริษัทเหมือนกับการไปเที่ยวสวนสัตว์ ถ้าเข้าไปเจอแต่ยีราฟก็น่าเบื่อมาก เพราะฉะนั้นในองค์กรจะต้องมี Dynamic เข้าไปแล้วต้องเจอทั้งแพนด้า ยีราฟ ช้าง เพื่อให้มีคนหลายแบบที่ช่วยเติมเต็มให้กันและกัน”
“การทำธุรกิจถ้าอยากจะสำเร็จจะต้องไม่ยอมแพ้ง่ายๆ ‘โอกาส’ เป็นคำเดียวที่ไม่มีคำว่าสายเกินไป และโอกาสเป็นสิ่งเดียวที่มีไว้เพื่อให้แก้ไขและปรับปรุง ไม่ได้มีเพื่อไว้ให้ข้ามผ่านไป อยากเป็นเจ้าของกิจการ ห้ามป่วย ห้ามตาย ห้ามสาย และห้ามยอมแพ้ (หัวเราะ) และปัญหาไม่ได้มีไว้ให้เครียด ถ้าอยากให้บริษัทก้าวไปข้างหน้า อย่าจมอยู่กับความหลัง แต่ต้องกล้าท้าทายกับสิ่งใหม่ๆ มองหาโอกาสใหม่ๆ ถ้ามันยังมาไม่ถึงก็อย่าหยุดฝัน แต่ให้เตรียมพร้อมไว้เมื่อมีโอกาส เราก็พร้อมที่จะสร้างความสำเร็จให้กับตัวเองได้อย่างแน่นอนค่ะ”