อีกหนึ่งนักธุรกิจ และนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จ ซึ่งไม่ว่าจะหยิบจับอะไรก็กลายเป็นเงินเป็นทองอย่าง “คุณต้น-จักรรัตน์ เรืองรัตนากร” กรรมการผู้จัดการ บริษัท รัตนากร แอสเซท จำกัด ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ ที่มีโรงแรมในเครือกว่า 12 แห่ง ทั้งในพัทยา ภูเก็ต สมุย และธุรกิจในเครือ ทั้งธุรกิจด้านเทคโนโลยี การเงิน อุตสาหกรรมการผลิตและการลงทุนกว่า 60 บริษัท จากจุดเริ่มต้นที่คุณพ่อก่อร่างสร้างธุรกิจจากร้านวัสดุก่อสร้าง และการทำโครงการหมู่บ้านจัดสรรเล็กๆ มาต่อยอด พัฒนา มองหาโอกาส จนสามารถสร้างธุรกิจให้กลายเป็นอาณาจักรธุรกิจพันล้าน ที่มีผลกำไรในแต่ละปีมากกว่า 1,500 ล้านบาท รวมทั้งยังถือครองสินทรัพย์มูลค่ามากกว่า 36,000 ล้านบาท โดยใช้เวลาเพียง 10 กว่าปีในการก่อร่างสร้างธุรกิจ
“ผมเริ่มต้นจากการที่ช่วยคุณพ่อทำร้านวัสดุก่อสร้างที่พัทยามาตั้งแต่เด็ก หลังจากนั้นคุณพ่อก็เริ่มเข้ามาทำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์แบบซื้อมาขายไป ก่อนที่จะเริ่มต้นทำธุรกิจโครงการหมู่บ้านจัดสรร เนื่องจากสภาวะเศรษฐกิจที่ไม่ดีในช่วงปี 2535 จากนั้นก็เลยทำหมู่บ้านรัตนากรไปหลายโครงการ และมีโครงการที่ทำร่วมกับหุ้นส่วนด้วย ผมช่วยคุณพ่อตั้งแต่อายุ 12 ช่วยขายวัสดุก่อสร้าง ดูแบบ คุมงานก่อสร้าง ไปจนถึงก่ออิฐ ผสมปูนเอง เรียกว่าทำทุกอย่าง คุณพ่อท่านก็ขับรถแบ็กโฮเอง ขนดินเอง ขายบ้านเอง เพราะตอนนั้นเรามีทุนน้อยก็ต้องลงแรงเอง โครงการแรกเราทำทาวน์เฮาส์แค่ 36 หลังเพราะมีงบน้อย จากนั้นเราก็ค่อยๆ ขยายโครงการขึ้น ช่วยคุณพ่อทำงานจนเรียนจบ ม.3 ครับ แล้วไปเรียนต่อ High School ที่ออสเตรเลีย ในปีหนึ่งผมจะกลับเมืองไทย 4 ครั้งเพื่อมาช่วยคุณพ่อทำงาน จนผมเรียนจบปี 2548 ก็กลับมาทำงานเต็มตัว ซึ่งตอนนั้นเรามีธุรกิจร้านจำหน่ายวัสดุก่อสร้าง ตึก 1 คูหา 2 ชั้น และทำโครงการหมู่บ้านจัดสรรเล็กๆ พื้นที่ 10 – 15 ไร่ ราวๆ 10 กว่าโครงการ และสร้างอาคารพาณิชย์ขาย จากนั้นผมก็ต่อยอดธุรกิจโดยเริ่มมาทำ Service Apartment ทำรีสอร์ต โรงแรม อาคารพาณิชย์ให้เช่า Office Rental ให้เช่า ทำตลาด ทำโรงเรียน ซึ่งตอนเริ่มต้นผมทำในพื้นที่พัทยาทั้งหมด จนธุรกิจเติบโต ผมถึงขยายไปลงทุนในจังหวัดอื่นๆ ทั่วประเทศ”
“การที่เราทำธุรกิจอสังหาฯ ที่หลากหลาย ผมก็เลยเปิดบริษัทลูกอย่างบริษัทรับเหมาก่อสร้าง ทำเครื่องมือ เครื่องจักรหนัก เพื่อรับงานให้กับบริษัทแม่ ธุรกิจผมจึงเติบโตและขยายการลงทุนไปเรื่อยๆ พอเห็นโอกาสว่าควรลงทุนอะไร ผมก็ทำธุรกิจต่อยอด โดยใช้ความเชี่ยวชาญด้านการเงินและการลงทุน เข้ามาเชื่อมโยงธุรกิจและสินค้าหลักของเรา และก็ทำอุตสาหกรรมการผลิต ซึ่งเป็นธุรกิจผลิตปุ๋ย ‘นันทกรี’ ของครอบครัวภรรยา ซึ่งจะมีปุ๋ยอินทรีย์เคมีแบบคอมปาวด์ มี Lab เฉพาะทางด้านการผลิตสารสกัดจากพืชสุขภาพ มี Lab Service ในการวิจัยและพัฒนาสินค้า ด้านสารสกัด เทคนิคการสกัด และการควบคุมคุณภาพสินค้า ซึ่งหลังจากที่ผมทำธุรกิจมากขึ้น ทำให้มีรายได้และผลกำไรที่สะสมไว้ ทำให้ตัดสินใจต่อยอดทำธุรกิจอีกกลุ่ม โดยจัดโครงสร้างการทำงานรองรับอย่างชัดเจน คือ การลงทุน โดยผมซื้อหุ้น หุ้นกู้ พันธบัตรรัฐบาล กองทุนทั้งในและต่างประเทศ รวมทั้งลงทุนในคริปโตเคอร์เรนซี จากนั้นก็ลงทุนในบริษัทเทคโนโลยี ซึ่งเริ่มต้นการลงทุนแบบได้ผลตอบแทนอย่างเดียว เช่น ด้านพลังงาน คริปโตฯ ไฟแนนซ์ และเทคโนโลยี เป็นต้น”
“แรกๆ ธุรกิจของเรารายได้หลักจะมาจากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ 50% อีก 20% จากอุตสาหกรรมการผลิต อีก 20% จากไฟแนนซ์ และอีก 10% มาจาก Investment และ Technology และในอนาคตอยากให้สัดส่วนรายได้จากอสังหาฯ เหลือ 30% ไฟแนนซ์กับอุตสาหกรรมการผลิต 30% Investment และ Technology 30% ซึ่งตอนนี้เรามีการศึกษาเทคโนโลยีใหม่ๆ อีกหลายตัว ทั้ง Tele medicine Financial Tech รวมทั้งในเรื่องการใช้ AI ก็ศึกษาอยู่ครับ ถึงวันนี้การมาของ AI อาจไม่มีผลกับธุรกิจของเรา แต่เชื่อว่าในอนาคตจะต้องมี เราก็ต้องเตรียมตัวไว้ โดยเฉพาะธุรกิจอสังหาฯ มีการแข่งขันสูง และ Margin มันค่อยๆ โตช้าลง ดังนั้นการทำธุรกิจด้าน Investment จะช่วยให้เราได้นวัตกรรมใหม่ๆ อย่างการลงทุนกับ Start up ก็มีทั้งดีและไม่ดี ก็ขึ้นอยู่กับเราเลือก การลงทุนธุรกิจอสังหาฯ ของเราจะเน้นการสร้างธุรกิจให้เช่าเป็นหลัก ไม่ว่าจะเป็นอะพาร์ตเมนต์ ตลาด โรงแรม รีสอร์ต เพราะเป็นการให้เช่า และที่ดินยังเป็นของเรา ยิ่งเราขยายไปในหลายๆ พื้นที่ แน่นอนว่าทรัพย์สินของเราก็จะเพิ่มขึ้น และมูลค่าทรัพย์สินก็เติบโตขึ้นทุกปี และที่สำคัญคนที่จะทำธุรกิจให้เช่าพื้นที่ จะต้องมีประสบการณ์และความชำนาญ ยิ่งใครอยู่ในตลาดมานาน ก็จะมีโอกาสที่ธุรกิจจะประสบความสำเร็จได้มากกว่า”
“การทำธุรกิจให้ประสบความสำเร็จ จะต้องมองและรู้จัก Cycle ของธุรกิจ อย่างช่วงนี้เรื่อง Finance และ Investment กำลังมา เราก็จะเน้น 2 ตัวนี้ ส่วนอุตสาหกรรมการผลิต และอสังหาฯ พออยู่ได้ เราก็ทำไปให้ต่อเนื่อง ซึ่งเหตุผลที่ผมทำปุ๋ยอินทรีย์เคมีแบบคอมปาวด์ เพราะรู้ว่าประเทศไทยมีตลาดปุ๋ยเคมี ปุ๋ยอินทรีย์ และปุ๋ยอินทรีย์เคมี มูลค่ารวมกว่า 6 แสนล้านบาท ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการนำเข้าแม่ปุ๋ยจากประเทศต่างๆ มาผสมให้เป็นสูตรต่างๆ เท่านั้น เพื่อเพิ่มความยั่งยืนในภาคอุตสาหกรรมนี้ บ.นันทกรีได้ใช้ 2 จุดเด่น คือ 1. เทคโนโลยีการผลิต ที่ทำให้ธาตุอาหารเข้ากันได้ครบในเม็ดปุ๋ยทุกเม็ด และ 2. หลักการนำธาตุอาหารกลับสู่ดิน-ใช้อาหารให้อาหารพืชแทนเคมีสังเคราะห์ สอดคล้องกับที่ บ.นันทกรีมองตลาดปุ๋ยอินทรีย์เคมี ที่มีส่วนแบ่งตลาด 3% จากมูลค่า 6 แสนล้านบาท เพราะเราสามารถผลิตได้เอง”
“วันนี้ผมมองว่าธุรกิจที่เราทำทุกตัวจะต้องเติบโต และอยู่ได้อย่างมั่นคง เป้าหมายคือเราต้องอยู่ได้ด้วยตัวเอง ฉะนั้นการทำธุรกิจเราจะทำแค่อย่างหนึ่งอย่างใดไม่ได้ เราต้องทำทุกอย่าง เพื่อให้มีความหลากหลาย ธุรกิจที่ทำต้องมีผลกำไร อะไรไม่ได้กำไรก็ปิดเพื่อลดการขาดทุน การทำธุรกิจทุกอย่างต้องมีการเตรียมตัว ดังนั้นแม้จะเกิดสถานการณ์อะไร ธุรกิจก็จะอยู่รอดได้ ผมศึกษาเรื่องเกี่ยวกับเศรษฐีมาทั่วโลก ส่วนใหญ่พวกนี้จะรวยขึ้นในช่วงที่เกิดวิกฤติทั้งนั้น เราผ่านวิกฤติช่วงโควิดมาได้ด้วยการเตรียมพร้อม ธุรกิจที่ได้รับผลกระทบมีแค่อสังหาฯ บ้าน โรงแรม รีสอร์ต และอะพาร์ตเมนต์ แต่เราก็แก้ปัญหาเพื่อให้เจ็บตัวน้อยที่สุด ในขณะที่ธุรกิจโลจิสติกส์ ตลาด คลังสินค้าดีมาก ผมซื้อหุ้นดีๆ ได้ในราคาที่ถูกมาก วันนี้ราคาขึ้นไปสองสามเท่า ผมก็ยังไม่ขาย เพราะมีรายได้จากผลตอบแทนทุกปี แค่ 5 ปี เงินลงทุน 6,000 ล้าน โตขึ้นมาเยอะมาก ผมอยากบอกว่า วันหนึ่งที่คุณอยากทำอะไรให้ประสบความสำเร็จ สิ่งแรกที่ต้องมีคือ Vision ต้องเห็นอนาคตว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น และต้องรู้จัก Cycle เวลาขาขึ้นผมจะลดหนี้ เวลาขาลงผมจะสร้างหนี้ เพราะดอกเบี้ยถูก ผมผ่านวิกฤติมาหลายครั้ง ฉะนั้นทุกอย่างก็สอนให้เราเรียนรู้ ธุรกิจต้องเติบโตด้วยกำไรไม่ใช่หนี้ ช่วง 1 – 2 ปีที่ผ่านมาก็เร่งใช้หนี้ เพราะดอกเบี้ยสูง เราต้องมองธุรกิจว่าจะอยู่ได้กี่ปี ธุรกิจสุดท้ายจะมีการเปลี่ยนแปลง ผมจะเปลี่ยนก่อนที่จะมีอะไรมาบังคับให้เราต้องเปลี่ยน และเราต้องบริหารจัดการให้มีสภาพคล่อง เราลงทุนอย่างฉลาด อะไรไม่คุ้มทำ เราก็แค่ชะลอ และเราต้องมองหาสิ่งใหม่ๆ ทำธุรกิจให้ครบวงจร เช่น เราผลิตปุ๋ย เพื่อเข้าสู่ห่วงโซ่อาหาร และ Supply chain เต็มรูปแบบ ธุรกิจเราก็จะเติบโต และอยู่ได้อย่างยั่งยืน”