เมื่อพูดถึงการจัดงานอีเวนต์ หรือโปรเจกต์เฟสติวัลระดับประเทศของเมืองไทยชื่อแรกที่หลายคนนึกถึง คือ วินิจ เลิศรัตนชัย ที่ไม่ว่าจะทำโปรเจกต์อะไรก็มักจะกลายเป็นกระแสโด่งดัง ที่เรียกความสนใจจากผู้คนได้ไม่น้อยเลยทีเดียว
คอนเสิร์ตเทศกาลฤดูหนาวบนพื้นที่เขาใหญ่งานแสดงแสงสีเสียง “พ่อ…The Greatest of the Kings The Greetings of the Land” ณ พระที่นั่งอนันตสมาคม ไปจนถึงงานล่าสุด การจัดการแข่งขันฟุตบอลอุ่นเครื่องก่อนเปิดฤดูกาล “The Match Bangkok Century Cup 2022” ระหว่างแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดและลิเวอร์พูล ที่ราชมังคลากีฬาสถานในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่าน ถือเป็นเครื่องการันตีฝีมือของ วินิจ เลิศรัตนชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เฟรชแอร์ เฟสติวัล จำกัด ได้เป็นอย่างดี
กว่า 13 ปี กับการดำเนินธุรกิจ ซีอีโอเฟรชแอร์ ยอมรับว่าที่นี่ไม่ใช่บริษัทออแกไนซ์ทั่วไป “หากเป็นบริษัทออแกไนซ์ทั่วไป จะรับจ้างทำตามคำสั่ง ทำตามรูปแบบที่ผู้จ้างต้องการ แต่สเกลของเฟรชแอร์ เฟสติวัล ไม่ได้ใหญ่ขนาดนั้น เราไม่สามารถไปพิทชิง (Pitching) ได้ เราเห็นอยู่แล้วว่าบริษัทออแกไนซ์เจ้าใหญ่ๆ ในตลาดมีเต็มไปหมด เราก็เลยดูจุดต่างว่าเราเป็น need projectment มากกว่า ซึ่งวิธีการของเราก็คือ การสร้างโปรเจกต์ แล้วนำโปรเจกต์ไปนำเสนอในตลาด โดยดูว่าโปรเจกต์ที่เราทำนั้นเหมาะกับใคร” ซีอีโอเฟรชแอร์ ยังบอกด้วยว่า แนวคิดของทีมเฟรชแอร์ เฟสติวัล คือ การหาจุดต่าง สร้างจุดที่เป็นซิกเนเจอร์ของแต่ละโปรเจกต์ให้ไม่ซ้ำใคร
“ยกตัวอย่างซิกเนเจอร์โชว์ของเรา เช่น งานเคานต์ดาวน์ที่วัดอรุณฯ ซึ่งอาจเรียกว่าเป็นงานแรกของเมืองไทยที่จะทำให้ทั่วโลกเห็นแลนด์มาร์กของประเทศ แทนที่จะเป็นศูนย์การค้า” ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของไอเดียที่ต้องการให้วันปีใหม่ในประเทศไทยถูกจดบันทึกในปฏิทินเทศกาลระดับโลก “เราใช้สถาปัตยกรรมที่พระปรางค์วัดอรุณฯ เป็นแลนด์มาร์กสำคัญในการจัดการเคานต์ดาวน์เชิงเอ็นเตอร์เทนเมนต์โดยผ่านทางวัฒนธรรมของเรา ซึ่งถือว่าประสบผลสำเร็จครั้งแรก และทำให้สำนักข่าวทั่วโลกให้ความสนใจอย่างมาก”
“แนวคิดของทีมเฟรชแอร์ เฟสติวัล คือ การหาจุดต่าง
สร้างจุดที่เป็นซิกเนเจอร์ของแต่ละโปรเจกต์ให้ไม่ซ้ำใคร“
เช่นเดียวกับการจัดงาน “วันแดงเดือด” ที่สร้างความฮือฮาให้กับเหล่าแฟนทีมฟุตบอลระดับโลก “ตอนนั้นเราดูว่ามีสิ่งใดบ้างที่ยังไม่เคยเกิดขึ้นในเมืองไทย รวมถึงยังไม่เคยพบว่ามีทีมฟุตบอลต่างประเทศ 2 ทีม มาเตะกันในเมืองไทย และก็ยังไม่เคยเกิดขึ้นในเอเขียด้วยเหมือนกัน เรียกว่าในรอบ 144 ปี ของการก่อตั้งสโมสรฟุตบอลแมนเซสเตอร์ ยูไนเต็ด และในรอบ 130 ปีของการก่อตั้งสโมสรฟุตบอลลิเวอร์พูล ยังไม่เคยที่ทั้งสองทีมนี้มาพบกันนอกเกาะอังกฤษเลย ถือเป็นโปรเจกต์ที่มีความท้าทายสำหรับเรามากทีเดียว”
ซีอีโอเฟรชแอร์ บอกด้วยว่า ความสำเร็จของการจัดงาน “วันแดงเดือด” นี้ เกิดจากปฏิกิริยาของคนในประเทศและต่างประเทศ และถือเป็นเกมฟุตบอลที่นอกจากคนไทย จะได้ดูในเมืองไทยแล้ว ยังได้รับการถ่ายทอดออกไปกว่า 172 ประเทศทั่วโลก “ถือว่าเป็นเกมครั้งแรกในมหกรรมกีฬาทั้งหลายในประวัติศาสตร์ที่ยังไม่เคยมีการถ่ายทอดเกมในเมืองไทย ไปสู่ต่างประเทศแบบนี้เลย”
ด้วยความสำเร็จที่เกิดขึ้นนี้ อาจเรียกได้ว่าเขาเป็นอีกหนึ่งบุคคลที่ได้รับการยอมรับให้เป็น Influencer คนหนึ่งของเมืองไทย “ผมกลับมองว่าหากตั้งใจให้เป็น Infuencer ก็จะดูไม่เป็นธรรมชาติ ไม่เรียลเท่าไร สำหรับผมแล้วผมมองว่าความเป็นธรรมชาติโดยที่ไม่จำเป็นจะต้องปั้น หรือตั้งใจที่จะให้เป็น อันนี้ผมว่าเป็นจุดที่อันตรายมากเหมือนกัน เพราะหากตั้งใจแล้วว่าอยากให้เป็น ก็เหมือนฝืนความเป็นธรรมชาติของตัวเราเอง และผมคิดว่าชีวิตของเราไม่ควรจะไปเซต ควรจะเป็นเรื่องธรรมชาติจากสิ่งที่เราคิด และเป็นธรรมชาติอย่างที่เราเป็น รวมถึงความตั้งใจในสิ่งที่เราทำ และเป้าหมายที่เรามี”
ซีอีโอเฟรชแอร์ ยังได้พูดถึง “จางอี้โหมว” ผู้กำกับภาพยนตร์ชาวจีนที่มีชื่อเสียงระดับโลกด้วยว่าเป็นบุคคลต้นแบบที่เขาชื่นชม “ผมไม่รู้จักเขาเป็นการส่วนตัว แต่ผมเห็นงานเขา ซึ่งถือเป็นการเปลี่ยนหน้าประวัติศาสตร์ของ Opening Ceremony ในงานมหกรรมใหญ่ๆ เช่น งานเวิลด์คัพที่อิตาลี ถือเป็นครั้งแรกที่มี Theme Song โดยได้ Giorgio Moroder มาทำเพลงสำหรับมหกรรมกีฬาครั้งแรกเป็นเพลง To be number one ซึ่งกลายเป็นมิวสิกเอ็นเตอร์เทนเมนต์ที่อยู่ด้วยกันแล้วทำให้เอ็นเตอร์เทนเมนต์กับสปอร์ตไปด้วยกันได้ รวมไปถึงการจัดงานพิธีเปิดกีฬาโอลิมปิกที่กรุงปักกิ่ง ที่ผู้กำกับภาพยนตร์คนนี้ได้สร้างซอฟต์พาวเวอร์ให้กับประเทศจีนอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว”
วันนี้ วินิจ เลิศรัตนชัย ไม่ได้เป็นเพียงแค่ซีอีโอของเฟรชแอร์ เฟสติวัล จำกัด เท่านั้น แต่เขายังเป็นอีกคนกล้า ที่กำลังใช้ความกล้าที่มีอยู่ในตัวเอง เข้ามาปรับปรุงและเปลี่ยนแปลงในสิ่งที่เขาทำอยู่ ให้เกิดเป็นงานที่ดีที่สุดนั่นเอง