“คุณโบ” หรือ “ณชา จึงกานต์กุล” เจ้าของธุรกิจขนมเพื่อสุขภาพ ผลไม้แปรรูปอบกรอบและอบแห้ง ภายใต้แบรนด์ “คันนา (Kunna)” ซึ่งปัจจุบันได้มีการขยายไลน์สินค้าเพิ่มมากขึ้นเพื่อตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าที่เพิ่มขึ้นในปัจจุบัน ด้วยความห่วงใยในสุขภาพทำให้เธอหันมาทานอาหารวีแกน และผลิตขนมวีแกนสำหรับลูกค้าที่รักสุขภาพ สิ่งหนึ่งที่เธอให้ความสำคัญนอกเหนือจากงานที่ทำแล้ว เธอยังให้ความสำคัญกับเรื่องของการปฏิบัติธรรมด้วยการใช้ชีวิตอย่างมีสติ รู้จักตัวเอง และรู้ถึงวิธีจัดการกับอารมณ์ของตัวเอง เพื่อให้ชีวิตในทุกๆ วันเติบโตและรู้จักการปล่อยวาง
“ช่วงโควิดที่ผ่านมาโบสนใจเรื่องวีแกนและแพลนต์เบส รวมทั้งได้ศึกษาเกี่ยวกับโรคต่างๆ อย่างเช่น โรคมะเร็ง หัวใจ หลอดเลือด พอศึกษาเยอะก็เลยหันมาทานวีแกนมาปีกว่า พอลองทานแล้วก็รู้สึกว่าไม่ได้ใช้ชีวิตยากลำบากอะไร ก็เลยสนใจที่จะทำขนมที่เป็นวีแกนอย่าง Mango Gummy ที่ไม่ใช้ส่วนผสมจากสัตว์ โดยใช้เพกตินแทนเจลาติน ใช้มะม่วงมหาชนกเป็นส่วนผสมถึง 62% และเริ่มทำผลไม้ฟรีซดรายอย่างทุเรียนมาเจาะกลุ่มวีแกนด้วย”
“การที่เราเริ่มทำขนมที่เป็นวีแกนเพราะอยากเป็นทางเลือกให้กับผู้บริโภค แต่ตลาดหลักของเรายังเป็นขนมที่ผลิตภายใต้ความผลไม้และความเป็นไทย อย่างเช่น มะม่วงอบแห้งรสยำแซ่บ รสกะปิกลมกล่อม และรสน้ำปลาหวาน ซึ่งได้การตอบรับจากผู้บริโภคเป็นอย่างดี อย่างปีนี้ประเทศไทยได้จัดงานแสดงสินค้าอาหาร THAIFEX – Anuga Asia 2023 เราก็ได้นำเสนอผลิตภัณฑ์ “Home Cafe’ Series” อย่างสมูทตี้มะม่วง ซึ่งเรานำเนื้อมะม่วงล้วนๆ มาปั่นแล้วฟรีซ เวลาลูกค้าจะทานก็เอาไปใส่ไมโครเวฟ พอละลายก็จะได้สมูทตี้รสมะม่วงแท้ๆ หรือจะเป็นข้าวเหนียวมูนกะทิสดแช่แข็ง พอนำเข้าไมโครเวฟแล้วนำมาทานได้ทันที รสชาติอร่อยไม่แพ้เจ้าดัง ผลิตภัณฑ์ของเราสามารถเก็บไว้ในช่องแช่แข็งได้นานนับปี ซึ่งตอบโจทย์ผู้บริโภคในปัจจุบันได้เป็นอย่างดี”
“สำหรับการทำตลาดของคันนา นอกจากเราจะขายตามห้างสรรพสินค้าและซูเปอร์มาร์เก็ตชั้นนำแล้ว ยังมี Official ส่วนลูกค้าต่างชาติก็หาซื้อได้ในสยามพารากอนและห้างสรรพสินค้าในเมืองท่องเที่ยวอย่างพัทยา ภูเก็ต รวมทั้งยังมีในแอปขายสินค้าออนไลน์ทุกช่องทาง และในส่วนของการทำตลาดในต่างประเทศ เราก็ส่งสินค้าไปจำหน่ายหลายประเทศ เช่น ญี่ปุ่น จีน ประเทศในตะวันออกกลาง โดยเฉพาะที่เกาหลี ลูกค้ารักสินค้าของคันนามาก โดยเฉพาะข้าวเหนียวมูนเป็นสินค้าที่ขายดี และช่วงปลายปีนี้ก็มีแผนที่จะขยายตลาดไปยังประเทศออสเตรเลียอีกด้วย เมื่อก่อนเราจะเน้นทำตลาดลูกค้าต่างชาติเพื่อซื้อเป็นของฝาก แต่ปัจจุบันเราจะเน้นส่งออกไปทำตลาดในต่างประเทศเพิ่มมากขึ้น ซึ่งที่ผ่านมาเรามีคอนเซปต์ครอสกับแบรนด์ดังระดับโลก หรือแบรนด์ไทยระดับอินเตอร์เนชันแนล ซึ่งก็จะทำเป็นซีรีส์ออกมาเรื่อยๆ”
“การทำธุรกิจขนม โบว่าเป็นเรื่องที่สนุกและท้าทาย ‘ครัวไทยคือครัวโลก’ ทำให้เรามองถึงความแตกต่างและหลากหลาย ลูกค้าต่างชาติชอบผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ มาเที่ยวทีไรพอแวะมาชอปปิงก็จะเห็นคันนามีสินค้าใหม่ๆ ออกมาให้ทาน ทำให้เราต้องคิดนอกกรอบ และสร้างกลุ่มลูกค้าได้มากกว่าเดิม แต่ความเครียดก็มีนะคะ เพราะเป็น Perfectionist ถ้าทำแล้วไม่สุด รู้สึกว่าต้องทำให้ดีได้มากกว่านี้อีก ทุกอย่างที่ทำคือต้องดีจริงๆ คันนาอยู่ในตลาดมา 12 ปี บทเรียนที่เราได้รับจากการทำธุรกิจก็คือการฝึกในเรื่องของสติ พอเราโตมาเรื่อยๆ ความสำเร็จของเราไม่ใช่แค่เป้าหมาย ชัยชนะ หรือตัวเลข แต่เป็นเรื่องการจัดการกับความรู้สึกที่เข้ามาในแต่ละวัน ความสุขเท่ากับความสำเร็จ เราจะต้องรู้จักจัดการกับอารมณ์ คิดบวก ที่ผ่านมาในแต่ละสเตจถือเป็นความภาคภูมิใจในการเติบโต เปลี่ยนแปลง และเรียนรู้ รวมทั้งเปิดรับสิ่งใหม่ๆ ที่เข้ามาในชีวิต พอโตขึ้นเราก็จะเรียนรู้ในความเข้าใจ เพราะโลกใบนี้เราไม่สามารถควบคุมอะไรได้ทั้งหมด คิดเยอะก็ทุกข์ คิดน้อยก็รู้สึกไม่พอ”
“สิ่งสำคัญสำหรับโบคือ ‘ปริยัติกับตน ผ่อนปรนกับคนอื่น’ เราสามารถตั้งตารางมีวินัยกับตัวเองได้ แต่ปัจจัยภายนอกไม่สามารถควบคุมได้ เพราะฉะนั้นสิ่งที่ดีที่สุดคือความเข้าใจ และโอนอ่อนผ่อนตาม ซึ่งพอเราเรียนรู้และเข้าใจผู้คนที่หลากหลาย สิ่งนี้ทำให้เราได้เข้าใจถึงวัตถุดิบและกลุ่มลูกค้าในแบบต่างๆ เช่นกลุ่มคุณแม่ที่มีลูกเล็กๆ เขาเป็นห่วงลูกเรื่องการทานผักผลไม้ เราทำสินค้าที่ตอบโจทย์ความต้องการแบบ Sympathy ทำให้เรามีไลน์สินค้าออกมาที่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าจริงๆ เราใช้วัตถุดิบคุณภาพดีทำให้มีราคาสูงกว่าสินค้าอื่น แต่ลูกค้าก็เข้าใจว่าคุณภาพต่างกัน การทำสินค้าดีๆ ขายก็เหมือนเป็นการสร้างบุญ ถ้าเราทำขนมอร่อย ได้ประโยชน์ สะดวกในการบริโภค นี่ถือว่าตอบโจทย์เราได้”
“นอกจากนี้สิ่งที่โบชอบคือการปฏิบัติและฟังธรรม เพราะสิ่งที่เราฟังจะช่วยชะล้างตะกอนในจิตใจได้ เมื่อเราฟังแล้วนำมาปฏิบัติก็จะช่วยให้เราใช้ชีวิตง่ายขึ้น โบชอบไปเป็นวิทยากรให้ความรู้ ชอบเอาขนมไปแจกเด็กด้อยโอกาส เวลาเห็นภาพที่เด็กๆ มีความสุข นั่นคือความปีติที่เราได้รับกลับมา ซึ่งทำให้รู้สึกอิ่มที่ใจ ความสุขใจคือสิ่งที่สำคัญที่สุด โบรู้สึก Thankful กับตัวเองทุกวัน ไม่ว่าจะมีเรื่องดีหรือร้ายอะไรก็จะกลับมาขอบคุณตัวเองทุกวัน วันนี้ดีจังที่ทำสิ่งนี้สำเร็จ และทำอะไรพลาดไปก็จะทบทวน ทุกๆ วันจะมีกระจกสะท้อนตัวเอง พอทำแบบนี้บ่อยๆ เราก็แข็งแกร่งขึ้น และเข้าใจความเป็นไปของโลกมากขึ้น แม้วันนี้จะไม่ได้เก่งถึงกับดับความโกรธในใจได้ แต่ก็ยังสามารถปล่อยวางสิ่งที่กระทบจิตใจออกไปได้ พออายุมากขึ้นก็ใช้ชีวิตง่ายขึ้น ต้องรู้จักหยุด ชีวิตก็จะมีความสุขมากขึ้น”