คุณโก้ – ม.ล. รังษิธร และคุณโม – ม.ล. รังษิอาภา ภาณุพันธุ์ สองพี่น้องที่มีไลฟ์สไตล์และวิถีการใช้ชีวิตที่แตกต่างกัน อย่างคุณโก้จะเป็นผู้ชายสายแฟชั่น รักชีวิตในเมือง ชอบทำงาน WORK HARD PLAY HARD ในขณะที่คุณโมจะเป็นสายชิลล์ ชอบชีวิต SLOW LIFE ชอบอยู่กับธรรมชาติ และชอบทำงานจิตอาสา แม้จะต่างกันแค่ไหน แต่ทั้งคู่ก็เป็นพี่น้องที่มีความมุ่งมั่น มีเป้าหมาย และแพสชันในชีวิต ทำให้ทุกวันของชีวิตกลายเป็นวันที่ดีๆ ได้เสมอ
คุณโม : ช่วงนี้กำลังอยู่ในช่วงสนใจและเรียนรู้การอยู่กับธรรมชาติแบบยั่งยืนค่ะ โมเพิ่งได้เริ่มทำโครงการ Eco School ให้กับโรงเรียนบ้านสวยหลง จ.หนองคาย ทำร่วมกับพี่ๆ จากศูนย์เรียนรู้บ้านดินอาศรมธรรมชาติ เป็นโครงการที่จะบูรณาการความรู้และการลงมือทำให้กับนักเรียน ในเรื่องการปรับตัวเพื่อรับมือกับผลกระทบของสภาพภูมิอากาศเปลี่ยนแปลง เราอยากให้น้องๆ ได้มีความเข้าใจและทักษะในการอยู่ร่วมกับธรรมชาติ และเติบโตเป็นนักสื่อสารสิ่งแวดล้อมในอนาคตค่ะ
จุดเริ่มต้นคือโมได้ไปเป็นอาสาสมัครที่ศูนย์เรียนรู้บ้านดินอาศรมธรรมชาติ จ.อุดรธานี แล้วโรงเรียนบ้านสวยหลงเป็นโรงเรียนชุมชนที่อยู่ใกล้ๆ แถวนั้น เลยได้มีโอกาสไปเยี่ยมน้องๆ ที่โรงเรียน แล้วพี่อ้อม-สุนิสา จำวิเศษ ผู้ก่อตั้งอาศรมธรรมชาติ ได้ชวนคุยถึงไอเดียการพัฒนาโรงเรียนให้เป็น Eco school ต้นแบบ เพื่อให้เด็กๆ ฝึกทักษะการใช้ชีวิตแบบพึ่งพาธรรมชาติแบบองค์รวม พอโมฟังไอเดียแล้วรู้สึกน่าสนใจมาก อยากให้โครงการนี้มันสำเร็จ เราเลยเริ่มประชุมวางแผนงานกันค่ะ เพื่อคิดกิจกรรมที่จะจัดในแต่ละปี พร้อมหาช่องทางการระดมทุนสนับสนุนโครงการค่ะ
ตอนนี้เราเน้นระดมทุนสร้างห้องเรียนอนุบาลบ้านดิน เพื่อเป็นศูนย์เรียนรู้ด้านสิ่งแวดล้อมสำหรับเด็กๆ ภายในโรงเรียนจะมีระบบจัดการแบบผึ้งพาธรรมชาติ เช่น การทำหลังคาเขียวเพื่อปรับอุณหภูมิห้องเรียนให้เย็นตลอดวัน ติดตั้งแผงโซลาเซลล์เพื่อลดการใช้พลังงาน การจัดการขยะหมุนเวียนและสวนเกษตรอินทรีย์ Pemmacuiture เน้นให้เด็กๆ ได้ปฏิบัติจริง มีการจัดค่ายวันเสาร์-อาทิตย์ ค่ายปิดเทอม และมีเวิร์กช็อปให้เด็ก ๆ ได้ทำผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติ เช่น สบู่ แชมพูและทดลองขายในงานโรงเรียนเพื่อให้เด็กๆ ฝึก mindset แบบ Entrepreneur ที่อยู่บนพื้นฐานความยั่งยืน
คุณโก้ : ตอนนี้เป็นช่วงที่ทุกคนฟื้นตัวด้านธุรกิจการงานหลังจากซบเซาในช่วงโควิด ผมเองก็เช่นกัน ที่ผ่านมาก็ทำฟรีแลนซ์ ทำงาน Work From Home (WFH) พอระยะยาวก็เลยเป็น new normal ถาวรไปเลย งานที่ทำก็มาจากสถานการณ์โควิดอย่างงานอาสาต่างๆ งานรับงานแปลบทความและคอนเทนต์ต่างประเทศ งานเกี่ยวกับการลงทุนสินทรัพย์และการจัดการกองทุน และงานประจำที่ทำเป็น Brand Strategist ให้กับ “Suit Select” ซึ่งทำมาเข้าปีที่ 11 แล้วครับ งานหลักๆ ก็จะวางกลยุทธ์ให้กับแบรนด์ เป็นแบรนด์สูทสำเร็จชั้นนำจากประเทศญี่ปุ่น โดยเรามีลูกค้าที่เป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงจำนวนมาก และลูกค้าทั่วไปหลายล้านคน เราถือเป็นร้านสูทร้านแรกที่ Centralworld จุดเด่นของเราก็คือเราจะมีสูทสำเร็จที่พอดีตัวกับไซซ์คนไทยและเอเชียที่สูงตั้งแต่ 165 – 185 ซม. รอบเอวตั้งแต่ 74 – 100 ซม. มีสูท 2 แบบ คือหรูหราร่วมสมัย Black Line ที่เน้นสูททรงสลิมฟิต และแบบคลาสสิก Silver Line ซึ่งทั้งร้านจะมีแค่ 2 ราคา คือ 6,990 บาทและ 11,990 บาท ซึ่งราคานี้ไม่รวมพวกสูทอิตาเลียนคอลเลกชันพิเศษและทักซิโด้ ซึ่งการที่ร้านมี 2 ราคา และ 2 คอลเลกชันทั้งร้าน ทำให้ลูกค้าจำง่าย ตัดสินใจซื้อง่าย พนักงานทุกคนเป็นสไตลิสต์ แค่ให้ลูกค้าระบุสีสูทที่อยากได้ เราให้ลูกค้าได้ลอง Mix & Match สูทกับเชิ้ต เนกไท กางเกง เข็มขัด รองเท้า และ Accessories
เมื่อก่อนผมจะเป็นทั้งผู้จัดการฝ่ายการตลาดและการขาย แต่หลังๆ ผมเน้นด้าน Business Development การขยายสาขาไปยังพื้นที่ยุทธศาสตรีใหม่ๆ ส่วนแผนการทำธุรกิจที่ผ่านมาและในอนาคต เรามองหา Location is King เพราะธุรกิจที่เป็น Brick and Motar โดยเฉพาะร้านสูททำธุรกิจออนไลน์ได้แค่บางส่วน เพราะการ Fitting และบริการหน้างานสำคัญมาก แม้จะมีแอปวัดตัวผ่านระบบออนไลน์โดยใช้ A ก็ไม่ดีเท่ากับการวัดแบบตัวต่อตัว ตอนนี้เราได้ขยายสาขาซึ่งมีที่เซ็นทรัลเวิลด์, เซ็นทรัลพลาซ่า แจ้งวัฒนะ, เซ็นทรัลชิดลม, เซ็นทรัล ลาดพร้าว, เซ็นทรัลปิ่นเกล้า, เมกาบางนา และล่าสุดเพิ่งเปิดที่พารากอน และจะขยายสาขาในเมืองเพิ่มเพื่อรองรับนักธุรกิจและลูกค้าชาวไทยและต่างชาติ
คุณโม : ถ้าถามว่างานที่ทำสนุกอย่างไร คิดว่ามันเป็นความท้าทาย ยิ่งตอนเริ่มต้นโครงการเราต้องหาทีมงานเพิ่ม ก็มีงานเยอะหน่อย แต่พอช่วงโควิดก็หยุดงานไป ช่วงนั้นโมได้ใช้เวลากับตัวเองมากขึ้น ยิ่งล็อกดาวน์ไม่ได้เจอใครจนชินกับการอยู่คนเดียวไปเลย ตอนนี้กลับมาทำงาน ต้องมาเจอโลก ต้องติดต่อผู้คน ก็ต้องปรับตัวนิดหนึ่ง (หัวเราะ) ตอนแรกโมมีโปรเจ็กต์ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ก็ได้เริ่มไปบ้างแล้ว พอโควิดมาก็ต้องถูกยุบไปตามสภาพเศรษฐกิจ เป็นช่วงหยุดชะงักและเปลี่ยนผ่านครั้งใหญ่ ที่ผ่านมาโมได้ตั้งคำถามกับตัวเองว่าอะไรเป็นสิ่งที่เราให้คุณค่าในชีวิต และเราอยากมีชีวิตอยู่แบบไหน โมก็ได้รู้ว่าสิ่งที่โมให้คุณค่าก็ไม่พันเรื่องการอยู่ร่วมกับธรรมชาติและการเดินทางภายในควบคู่กัน
ช่วงปีที่ผ่านมาทำให้โมได้เริ่มออกเดินทางไปเรียนรู้วิถีชีวิตแบบพึ่งตนเอง และการทำเกษตรอินทรีย์ที่สวนพันพรรณ จ.เชียงใหม่ ได้ลองปลูกข้าว เก็บหอยเชอร์รีทำปุ๋ยหมัก ปลูกผัก ปลูกพืชกินได้ ก็พบคำตอบว่าถ้าเราดูแลธรรมชาติ ธรรมชาติก็จะดูแลเรา อาหารจากธรรมชาติทำให้เราสุขภาพดี กลายเป็นว่าโมเลือกทาน รู้ที่มา และกลับมาทดลองปลูกผักกินเองที่บ้าน และก็ได้รู้ว่าความสุขของโมมันเรียบง่าย เป้าหมายในชีวิตตอนนี้โมโฟกัสไปที่โครงการ Eco School อยากทำให้สำเร็จ อยากสร้างบ้านที่ภาคเหนือ อยากทำสวนเกษตรอินทรีย์ อยากทำธุรกิจอสังหาฯ ต่อตอนนี้ก็อยากฝากโครงการ Eco School โรงเรียนบ้านสวยหลง ใครสนใจหรืออยากสนับสนุนโครงการก็เข้าไปดูที่ gaiaschoolasia.com ได้ค่ะ
คุณโก้ : ส่วนผม การบริหารงานที่ร้าน Suit Select ก็สนุกและท้าทายมากครับ ร้านเราได้รับผลกระทบจากโควิดตั้งแต่แรก ตอนนั้นผมอยู่อเมริกา เห็นระบาดฝั่งเอเชีย สุดท้ายก็ข้ามมาฝั่งอเมริกา และลามไปทั้งประเทศเร็วมาก ตอนนั้นคือเราออกจากบ้านไม่ได้เลยครับ ถนนโล่ง ออกไปซื้อของเข้าบ้านอาทิตย์ละครั้ง กระดาษชำระขาดแคลน ตอนนั้นกลับมาทำงานที่ไทยยังไม่ได้ ก็ต้องทำงาน WFH จากอเมริกาประสานงานช่วยที่ฝั่งไทย ทำแบบนี้อยู่เกือบปีจนในที่สุดก็กลับมาทำงานที่ไทยต่อได้ครับ ส่วนแผนชีวิตในอนาคต ผมแค่อยากทำทุกอย่างในปัจจุบันให้ level up ขึ้นไปเรื่อย ๆ เหมือนเราเล่นเกมจาก level 1 อยากให้มันเป็นสิบ เป็นร้อย เป็นพันไม่สิ้นสุด อยากโตไปเรื่อยๆ อย่างยั่งยืนครับ
Howe : ชีวิตช่วงนี้ถือว่าแฮปปี้ไหมคะ
คุณโม : ตอนนี้ก็มีความสุขดีนะคะ ความสุขของโมคือการได้อยู่ร่วมกับธรรมชาติ การทำให้คนรอบข้างเรามีความสุขในทุกๆ วัน และก็ได้ทดลองและเรียนรู้ที่จะทำสิ่งใหม่ๆ ตอนนี้ถ้าเรื่องที่แฮปปี้คือรู้สึกขอบคุณโอกาสใหม่ๆ ในการเรียนรู้ และกัลยาณมิตรที่เข้ามาในชีวิตค่ะ ปีนี้เป็นปีที่โมได้ลองไปทำอะไรใหม่ๆ เยอะมาก ได้ไปเรียนการสร้างชุมชนนิเวศวิถีที่ศูนย์เรียนรู้บ้านดิน ในจ.อุดรธานี ได้ไปฝึกทำเกษตรอินทรีย์ที่สวนพันพรรณ จ.เชียงใหม่ และได้เจอเพื่อนร่วมทางที่ให้คุณค่าคล้ายๆ กับเรา แล้วมันตอกย้ำความเชื่อเราว่าเราอยู่ร่วมกับธรรมชาติแบบเบียดเบียนให้น้อยที่สุดได้
ส่วนเรื่องที่ไม่แฮปปี้น่าจะเป็นความเปลี่ยนไปของร่างกายมั้งคะ พออายุย่างเข้า 30 ระบบเผาผลาญทำงานไม่ดีเหมือนเดิม ทานอะไรก็อ้วนง่าย เหมือนมีสัญญาณมาเตือนว่าจงออกกำลังกาย ดูแลตัวเองซะ (หัวเราะ) ส่วนสุขภาพตอนนี้แข็งแรงดีแล้วค่ะ ก่อนหน้านั้นโมเป็นโควิด ทำให้การรับรู้รส-กลิ่นหายไปอยู่เดือนกว่าๆ ตกใจมาก นึกว่าจะไม่ได้กินอะไรอร่อยๆ อีกแล้ว แต่พอการรับรู้กลิ่น-รสกลับมาดีใจมาก ช่วงนี้พยายามดูแลสุขภาพเลือกทานอาหารผัก-ผลไม้สดเป็นหลัก และลดอาหารแปรรูป ปรับการนอน ให้เร็วขึ้นเพื่อเพิ่มความแข็งแรงให้ภูมิคุ้มกันค่ะ
คุณโก้ : ชีวิตผมก็แฮปปี้ดีครับ ทุกอย่างในชีวิตมันลงตัว ทั้งเรื่องงาน เรื่องสุขภาพ เรื่องความสัมพันธ์ ทุกอย่างดีครับ สิ่งที่ไม่แฮปปี้ก็คงเป็นเรื่องที่ผมเป็นภูมิแพ้ผิวหนัง เป็นหนักๆ ก็ต้องรักษาตัว ก็พยายามปรับ Life Style นอนเร็วขึ้น ออกกำลังกาย ทานผัก งดของหวาน ของมัน ทานอาหารเสริม ออกไปเดินรับแดดทุกวัน ถ้าไม่นับโรคภูมิแพ้ชีวิตก็ถือว่าดีมาก
ผมชอบใช้ชีวิตชิลล์ๆ อะไรที่มันท็อกซิกก็ปล่อยไป ชีวิตส่วนใหญ่ผมจะโฟกัสที่งาน ชอบทำงาน ทำงาน แล้วก็ทำงานครับ (หัวเราะ) งานที่ทำก็เหมือนได้ไปเที่ยวทุกวันอยู่แล้ว ว่างๆ ก็ชอบหาของอร่อยทาน ชอบหาร้านอาหารใหม่ๆ เดินสายไปตามเขตต่างๆ ตามตรอกซอกซอยใหม่ๆ ในกรุงเทพฯ ผมชอบ Street Food ครับ ชอบอุดหนุนร้านรถเข็น ตอนนี้ผมติดการขับ Scooter EV ไปทั่วเมืองครับ แล้วก็ชอบอ่านข่าวการเงินการลงทุนของไทยและต่างประเทศครับ
ส่วนเรื่องของการรับมือกับปัญหา ก็แค่มองหาว่าอะไรคือปัญหา สาเหตุคืออะไร และ End Game ของมันระยะสั้น กลาง ยาว เป็นอย่างไร บางที่เราวิเคราะท์ End Game เราก็จะเบาขึ้น โดยเฉพาะปัญหาที่เป็นปัญหาเดิมๆ ถ้าเรามีประสบการณ์ เราจะทันเกม และรับมือกับมันได้สบายครับ
คุณโม : โมก็เป็นคนใช้ชีวิตง่ายๆ เวลาว่างจะชอบนั่งสมาธิ ทำอาหารดูแลต้นไม้ อ่านหนังสือ ทำงานศิลปะ ไปเวิร์กช็อปสิ่งที่สนใจ เวลามีปัญหาโมจะยอมรับปัญหาที่เกิดขึ้นก่อน และพยายามหาสาเหตุทั้งหมดของปัญหาว่าคืออะไร และทำความเข้าใจให้รอบด้านกับมันให้มากที่สุด แล้วก็จะหาทางแก้ไขด้วยตัวเอง แต่ถ้าโมรู้สึกว่าโมมีความรู้ในการรับมื้อกับปัญหานั้นไม่มากพอ โมก็จะขอความช่วยเหลือจากผู้รู้หรือคนที่มีประสบการณ์ในเรื่องนั้นค่ะ
สำหรับมุมมองการใช้ชีวิต โมมองว่าความแตกต่างคือความงดงาม ทุกชีวิตบนโลกมีความหลากหลาย มีความคิด และประสบการณ์ไม่เหมือนกัน ซึ่งแม้ว่ามันอาจจะเกิดความขัดแย้งกันบ้างในบางครั้ง แต่หากเราตระหนักในความแตกต่างนี้ได้ และเคารพซึ่งกันและกัน เราก็จะได้เห็นความงาม อีกรูปแบบที่เราอาจไม่เคยมองเห็นมาก่อน เพราะทุกสิ่งมันไม่คงทนถาวรและเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา การใช้สติ ความรัก และความเมตตา จะช่วยนำทางชีวิตให้ไปเจอความงามตรงนี้ได้ ถ้ายอมรับความต่างได้ ชีวิตก็มีความสุขค่ะ