คุณธรรมศักดิ์ เศรษฐอุดม กรรมการผู้จัดการใหญ่ เอสซีจี (SCG) ในฐานะผู้นำทัพคนสำคัญ ที่นำพาให้เอสซีจีเดินหน้าด้วยความเข้มแข็งและมั่นคง เปิดเผยถึงเศรษฐกิจโลกและไทยในไตรมาส 3 ที่ผ่านมาได้รับผลกระทบจากสงครามการค้า ภาษีนำเข้าสหรัฐฯ ปัญหาความขัดแย้งระหว่างรัสเซีย และยูเครน และเงินบาทแข็งค่าขึ้น 5% ซึ่งสูงสุดในรอบ 4 ปี ทำให้ส่งกระทบต่อตลาดการส่งออก การลงทุน การท่องเที่ยว และการบริโภคในประเทศอย่างต่อเนื่อง

นอกจากนี้ IMF คาดการณ์ว่า GDP โลกปี 2568-2569 ชะลอเหลือ 3.2% และ 3.1% ตามลำดับ ขณะที่ไทยมี GDP เติบโตเพียง 2% ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยอาเซียน และในปีหน้าอาจจะชะลอเหลือ 1.6 % ซึ่งมองว่าปัญหาศรษฐกิจรอบนี้จะยืดเยื้อและเต็มไปด้วยความไม่แน่นอนทั้งจากปัจจัยภายนอกและภายในประเทศ ทำให้บริษัทจึงเร่งปรับตัวมาตั้งแต่ปีที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นการรักษาวินัยทางการเงิน ลดต้นทุน รวมศูนย์การผลิตเพื่อลดความซ้ำซ้อน ปรับโครงสร้างธุรกิจ ตลอดจนพัฒนาสินค้า Smart Value–HVA–กรีน ที่ตอบโจทย์ตลาดทุกระดับ และยังมีแผนขยายตลาดใหม่ เพื่อสร้างกระแสเงินสดให้แข็งแกร่ง และดำเนินงานธุรกิจมั่นคง
สำหรับ ผลประกอบการเอสซีจี ไตรมาส 3 ปี 2568 กำไรที่ไม่รวมการปรับมูลค่าสินค้าคงเหลือของเอสซีจีซี และรายการปรับโครงสร้างธุรกิจ 774 ล้านบาท ขณะที่มีขาดทุนสำหรับงวด 669 ล้านบาท สำหรับช่วง 9 เดือน ปี 2568 กระแสเงินสด (EBITDA) แข็งแกร่งที่ 44,511 ล้านบาท
“แม้ภาคการก่อสร้างชะลอตัวตามฤดูกาล แต่ธุรกิจซีเมนต์แอนด์กรีนโซลูชันส์สามารถสร้างผลกำไรที่ 1,583 ล้านบาท โดยธุรกิจได้ปรับโครงสร้างเพื่อลดต้นทุน และขยายตลาดปูนคาร์บอนต่ำทั้งในไทยและอาเซียนอย่างต่อเนื่อง ทำให้เอสซีจี เดคคอร์มีกำไร 305 ล้านบาท โดยมี PRIME เวียดนามเป็นฐานการผลิตส่งออกทั่วอาเซียน จากการบริหารจัดการต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ และการมุ่งพัฒนาสินค้า HVA และสินค้าเติบโตสูงที่สร้างมูลค่าเพิ่มให้กับธุรกิจและตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคยุคใหม่ส่วนเอสซีจี สมาร์ทลีฟวิง และ เอสซีจี ดิสทริบิวชั่นแอนด์ รีเทลมีกำไร 60 ล้านบาท ซึ่งธุรกิจในส่วนนี้ได้เร่งลดต้นทุนโดยใช้ AI ระบบอัตโนมัติ และการจัดการใช้วัตถุดิบให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น”


ทั้งนี้ในส่วนของเอสซีจีซี ยังขาดทุนอยู่ราว 3,999 ล้านบาท เนื่องจากธุรกิจเผชิญส่วนต่างราคาสินค้าเคมีภัณฑ์ลดลง แต่ยังรักษากำลังการผลิตระดับได้ 85–90 % ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยของผู้เล่นในอุตสาหกรรม รวมทั้งโรงงาน LSP ที่เวียดนามเริ่มกลับมาดำเนินงานเมื่อเดือนสิงหาคม 2568 ทำให้เครื่องจักรได้รับการบำรุงรักษาสม่ำเสมอ รักษาฐานลูกค้า บริหารต้นทุนอย่างยืดหยุ่นผ่านการปรับสัดส่วนวัตถุดิบระหว่างโพรเพนและแนฟทาได้ทันทีตามราคาที่เหมาะสมในสถานการณ์ตลาด หากปิดโรงงานระยะยาวจะสูญเสียโอกาสทางธุรกิจ และแบกรับต้นทุนการเริ่มต้นใหม่ในอนาคต ส่วนเอสซีจีพี มีผลกำไร 953 ล้านบาท เนื่องจากตลาดบรรจุภัณฑ์อาเซียนฟื้นตัวจากการบริโภคภายในประเทศ และภาคการส่งออก โดยเฉพาะในกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคประจำวัน เสื้อผ้าและรองเท้า ได้รับแรงหนุนจากการเตรียมสินค้าล่วงหน้าสำหรับเทศกาลปลายปี ส่วนด้านราคาเยื่อและกระดาษมีการปรับตัวลง บริษัทฯ จึงเน้นขยายธุรกิจบรรจุภัณฑ์ที่เกี่ยวเนื่องกับผู้บริโภค การบูรณาการห่วงโซ่อุปทานในภูมิภาค จัดการต้นทุนและการผลิตที่มีประสิทธิภาพโดยการนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้ และเพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานทดแทนเป็น 38.6% ของการใช้พลังงานทั้งหมด


“ตลอด 12 เดือนที่ผ่านมา เอสซีจีมีมาตรการเสริมความแข็งแกร่งทางการเงินอย่างต่อเนื่อง ทำให้เงินทุนหมุนเวียนลดลง 21,571 ล้านบาท หนี้สินสุทธิลดลง 32,226 ล้านบาท ต้นทุนทางการเงินลดลง 193 ล้านบาทคิดเป็น 2% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน อัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อ EBITDA อยู่ที่ 4.7 เท่า และมีเงินสดคงเหลือ
ณ สิ้นไตรมาส 3 อยู่ที่ 50,662 ล้านบาท ซึ่งสะท้อนให้เห็นผลของการบริหารจัดการที่มีวินัยและรอบคอบ ซึ่งเราจะยึดถือแนวทางและบริหารจัดการการเงินให้ดียิ่งขึ้นกว่าเดิม ซึ่งจากการวิเคราะห์สถานการณ์เศรษฐกิจโลกในขณะนี้ยังดูเปราะบาง แต่เอสซีจีเชื่อมั่นว่า ด้วยกลยุทธ์ที่วางไว้ และการปรับตัวอย่างทันท่วงทีที่ผ่านมา คือ “ภูมิคุ้มกันที่ถูกทาง” เห็นได้ผลการดำเนินงานและ EBITDA ที่แข็งแกร่ง”

เอสซีจียังคงขับเคลื่อนองค์กรด้วย 4 กลยุทธ์หลัก ที่ช่วยเสริมแกร่งให้กับองค์กรด้วย
กลยุทธ์ที่ 1 : รักษาวินัยทางการเงินต่อเนื่อง บริหารกระแสเงินสดที่มั่นคง ใช้เงินทุนหมุนเวียนอย่างระมัดระวัง ปรับโครงสร้างการดำเนินธุรกิจ ลดต้นทุนด้วย AI & Robotics เช่น เอสซีจี เดคคอร์ ได้นำเทคโนโลยีหุ่นยนต์และ AI เข้ามาช่วยตรวจคุณภาพผลิตภัณฑ์ ควบคุมกระบวนการผลิต และบริหารคลังสินค้า จนสามารถลดต้นทุนได้กว่า 20% ต่อปี
เอสซีจี สมาร์ทลีฟวิง ใช้ AI และระบบอัตโนมัติจัดการวัตถุดิบ
กลยุทธ์ที่ 2 : รวมศูนย์การผลิตเพื่อลดความซ้ำซ้อน เน้นเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารสินทรัพย์ในธุรกิจของเอสซีจีที่ดำเนินงานในอาเซียน บริหารต้นทุนการผลิตและส่งออก เช่น เอสซีจี สมาร์ท ลีฟวิง ควบรวบไลน์ผลิตกระเบื้องหลังคาคอนกรีตที่จังหวัดลำพูน ลดต้นทุนได้ 10 ล้านบาทต่อปี”
กลยุทธ์ที่ 3 : รุกตลาดเวียดนาม ซึ่งเป็นฐานการผลิตใหม่เพื่อส่งออกตลาดโลก เพราะเวียดนามมีการเติบโตโดดเด่น และมีค่า GDP เติบโตกว่า 7% ซึ่งเอื้อต่อธุรกิจอสังหาฯ–ก่อสร้าง–บริโภค และมีต้นทุนการผลิตแข่งขันได้ทั้งพลังงาน แรงงาน และโลจิสติกส์ เอสซีจีจึงเร่งขยายฐานในเวียดนามโดยเพิ่มกำลังการผลิตปูนคาร์บอนต่ำให้ได้ 8,000 ตันต่อวัน เพื่อจำหน่ายในประเทศและส่งออกไปยังอเมริกา ออสเตรเลีย และยุโรป และขยายการผลิตและส่งออกเซรามิกจากเวียดนามสู่ตลาดโลก ซึ่งโรงงานลองเซิน ปิโตรเคมิคอลส์ เวียดนาม (LSP) จะเพิ่มสัดส่วนการใช้วัตถุดิบก๊าซโพรเพน ในการแข่งขันช่วงที่สภาวะราคาวัตถุดิบผันผวน ส่วนโครงการเพิ่มวัตถุดิบก๊าซอีเทนก็ยังเดินหน้าตามแผน ซึ่งคาดว่าโครงการนี้จะเสร็จในช่วงปลายปี 2570 ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนการผลิต และเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันได้ในระยะยาว”
กลยุทธ์ที่ 4 : ขยายพอร์ตสินค้า บริการ ในราคาคุ้มค่า Smart Value – HVA – กรีน ที่ตอบสนองความต้องการผู้บริโภคในภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว เอสซีจีขยายกลุ่มสินค้าและบริการ Smart Value “คุณภาพดี–ราคาคุ้มค่า” ในกลุ่มสินค้างานโครงสร้างและวัสดุตกแต่ง เช่น ปูนงานโครงสร้าง และปูนก่อฉาบ “ดูร่าวัน” , กระเบื้องหลังคาเซรามิก SCG รุ่น “Celica SRA” สำหรับอาคารศาสนสถาน และงานดีไซน์พิเศษ, พื้นและประตู “UNIX”, งานเหล็กสำหรับโครงผนัง ฝ้า และหลังคา “TOPSTEEL” รวมทั้งแพคเกจบริการมุงหลังคา “SCG Saver Roof Package” และยังมีงานบริการปรับปรุงบ้าน (Home Improvement) จากคิวช่าง ไม่ว่าจะเป็นบริการติดตั้งพื้นไม้ SPC บริการทาสีภายนอก ผมเชื่อว่าสินค้ากลุ่มนี้จะได้รับความนิยมสูงในภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวต่อเนื่องครับ”

“นอกจากนี้ เรายังเร่งเพิ่มกำลังผลิตสินค้ากรีนและสินค้ามูลค่าเพิ่มสูง (High Value Added Products-HVA) ที่เป็นนวัตกรรมใหม่ๆ เช่น “ปูนคาร์บอนต่ำ” ซึ่งอยู่ระหว่างพัฒนาปูนรุ่นใหม่ Gen 3 ที่ลดคาร์บอนไดออกไซด์ได้ถึง 38% โดยจะปรับกำลังการผลิตที่ 2 ล้านตัน/ปีที่ จ.สระบุรี ภายใน 2 ปีข้างหน้า ส่วน CPAC Extra Base Layer นวัตกรรมซ่อม-สร้างถนนที่คงตัวทนทาน ลดการยุบตัวจากการกัดเซาะน้ำ สะพาน UHPC (Ultra High Performance Concrete) สมรรถนะสูง ลดเวลาก่อสร้างได้ถึง 50% เทคโนโลยีการขึ้นรูปอาคารก่อสร้างที่มีดีไซน์ซับซ้อน หรือ 3D Printing Mortar จะขยายตลาดไปญี่ปุ่น ซาอุดิอาระเบีย และมาเลเซีย รวมทั้ง ยกระดับ Roof Installation ซึ่งเป็นบริการมุงหลังคาครบวงจรเของอสซีจี ด้วย Drone AI บริการตรวจหารอยรั่วหลังคาและวิเคราะห์โครงสร้างแบบ 3 มิติ ช่วยให้ซ่อมแซมรวดเร็ว ปลอดภัย และแม่นยำยิ่งขึ้น หรือจะเป็น SCG Comfort Tile กระเบื้องซีเมนต์ปูพื้นรายแรกในไทยที่ลดความร้อนสะสมได้ 3–7 องศาเซลเซียส ด้วย HeatSync Technology ทำให้พื้นเย็น สุขภัณฑ์ไร้ถังประหยัดน้ำ DUACT และแบบ “เคลือบจากเปลือกไข่–หอย” ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก นวัตกรรมเม็ดพลาสติกจากเทคโนโลยี SMX ช่วยลดความหนาของผลิตภัณฑ์ลงโดยยังคงความแข็งแรง และเรายังพัฒนาเป็นสินค้าหลากหลาย เช่น ท่ออุตสาหกรรมสำหรับเหมืองแร่ขนาดใหญ่ ฝาขวดน้ำอัดลม ถังบรรจุสารเคมี และบรรจุภัณฑ์สินค้าอุปโภคบริโภค นวัตกรรมพลาสติกรีไซเคิล ทั้งเทคโนโลยีรีไซเคิลเชิงกล และเทคโนโลยีรีไซเคิลขั้นสูง ซึ่งใช้ผลิตเป็นบรรจุภัณฑ์ Food Grade ปลอดภัย ผ่านการรับรองมาตรฐาน ISCC PLUS ซึ่งทุกผลิตภัณฑ์จะครอบคลุมทุกห่วงโซ่อุปทานครับ”
“ต้องยอมรับว่า ปัญหาเศรษฐกิจโลกที่ยังยืดเยื้อ ถือเป็นความท้าทายที่เอสซีจีต้องประเมินสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง ทั้งเรื่องการแบ่งขั้วทางเศรษฐกิจที่ชัดเจนขึ้น มาตรการกีดกันทางการค้าที่ขยายตัว และค่าเงินบาทที่แข็งขึ้น ซึ่งส่งผลต่อการส่งออก และการท่องเที่ยวของไทยซึ่งถือเป็นเรื่องที่ท้าทาย แต่เรามั่นใจว่า ด้วยมาตรการที่ดำเนินการมาอย่างเข้มข้นในปีที่ผ่านมาถือว่ามาถูกทาง ไม่ว่าจะเป็นการส่งเสริมวินัยทางการเงิน การปรับโครงสร้างธุรกิจ และขยายไปยังตลาดที่มีศักยภาพ นี่ถือเป็นฐานสำคัญที่ทำให้เอสซีจีเติบโต และยืนหยัดได้อย่างแข็งแกร่ง มั่นคง และยั่งยืนมากยิ่งขึ้น”



