พัฒน์ บุญนิธิพัฒน์  “รักที่จะทำในสิ่งที่รัก”

0
45

หลังจากที่ “พัฒน์ บุญนิธิพัฒน์” ประสบความสำเร็จอย่างท่วมท้นกับภาพยนตร์เรื่องล่าสุด “หลานม่า” ทั้งรางวัลและยอดรายได้ทำให้เขากลายเป็นผู้กำกับพันล้านคนใหม่ในชั่วข้ามคืน เขาบอกกับเราว่า รู้สึกยินดีกับความสำเร็จในครั้งนี้เป็นอย่างมาก ซึ่งต้องขอยกความสำเร็จและความภูมิใจที่ได้รับให้กับทีมงานทุกคนเช่นกัน ชัยชนะในครั้งนี้ ดูเหมือนจะไม่ได้ทำให้เขารู้สึกเหิมเกริมหรือหยิ่งผยอง แต่กลับทำให้เขาตั้งใจหาแรงบันดาลใจใหม่ๆ และอยากทำหนังให้ดีขึ้นเรื่อยๆ พร้อมกับหวังในใจว่า คนดูจะรักและยอมรับเหมือนเรื่องที่ผ่านมา

“ตอนนี้ก็ยังไม่ได้มีโปรเจกต์อะไรใหม่ครับ เรียกว่าอยู่ในช่วงที่กำลังหาไอเดียใหม่ๆ ก็ออกไปเจอผู้คน ได้พูดคุย ได้ท่องเที่ยว และกำลังตีโจทย์หาทางเดินของเรื่องใหม่ๆ ผมชอบงานกำกับภาพยนตร์ครับ เริ่มต้นทำหนังมาตั้งแต่เรียนมหาวิทยาลัย ตอนนั้นอายุ 20 ปี ก็อยู่ในวงการนี้มา 15-16 ปี การที่ผมชอบงานที่ทำเพราะเป็นงานที่สนุก ยิ่งถ้าเราเจอโจทย์ที่เราชอบก็จะไม่รู้สึกเบื่องานหรือรู้สึกเหนื่อยเลยครับ ผมโชคดีที่ได้ทำโปรเจกต์แบบนั้นอยู่เรื่อยๆ ทำให้ยังมีไฟที่อยากจะทำงานต่อไปเรื่อยๆ ความรู้สึกเบิร์นเอาต์ก็ยังไม่มีอยู่ในหัวผมเลยตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมา”

                “จริงๆ การทำหนังแต่ละเรื่องต้องใช้เวลายาวนาน 2-3 ปี ทำให้ผมพยายามมองหางานที่ทำให้เราได้ทำความรู้จักกับมัน ได้พบเจอผู้คน ได้ค้นหา พาตัวเองไปสู่การพัฒนาและสนุกกับมัน อย่าง “หลานม่า” ทำให้ผมได้กลับมามองครอบครัวในรูปแบบที่เราไม่เคยมอง จุดเริ่มต้นมาจากพี่เป็ด (ทศพล ทิพย์ทินกร) ซึ่งเขาเขียนเรื่องเกี่ยวกับอาม่าของเขา พอโปรดิวเซอร์อ่านแล้วชอบ ก็เลยส่งมาให้ผม ผมเองก็ชอบ เลยอยากทำโปรเจกต์นี้ ตอนที่ทำก็ไม่เคยคิดว่าจะประสบความสำเร็จขนาดนี้ เพราะเป็นหนังครอบครัว ที่ใครๆ มองว่าเป็นหนังไม่ทำเงิน ตอนทำผมก็คิดถึงหนังครอบครัวที่สามารถทำเงินไม่ออกเหมือนกัน หวังแค่ว่าอยากทำหนังเรื่องนี้ให้ออกมาดีที่สุดเหมือนทุกเรื่องที่เราตั้งใจทำทุกครั้ง”

                “แม้ว่าภาพยนตร์ “หลานม่า” จาก GDH จะไม่ผ่านเข้าสู่การเสนอรายชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์ แต่การที่หลานม่าได้เข้าถึงรอบ 15 เรื่องสุดท้าย (Shortlist) สาขาภาพยนตร์นานาชาติยอดเยี่ยม ถือเป็นก้าวสำคัญในประวัติศาสตร์วงการภาพยนตร์ไทย เพราะนี่คือภาพยนตร์ไทยเรื่องแรกที่ได้มาถึงจุดนี้ นี่คือความภาคภูมิใจอย่างยิ่งใหญ่สำหรับผมและคนไทยทุกคน ความสำเร็จครั้งนี้ไม่ใช่เป็นของผมคนเดียว แต่ถือเป็นของทีมงานทุกคน ผมเองไม่เคยสัมผัสความรู้สึกแบบนี้มาก่อน ทั้งดีใจ ภูมิใจ เป็นกำลังใจ เรียกว่าหลากหลายความรู้สึกมากๆ ต้องยอมรับว่าความสำเร็จครั้งนี้เป็นเหมือนเครื่องมือกรุยทางให้เดินไปข้างหน้าได้สะดวกขึ้น ถามผมว่ากดดันไหมกับโปรเจกต์ต่อๆ ไป ก็ต้องบอกว่า ไม่กดดัน แต่ทำให้ผมมองหาอะไรที่มันท้าทายและน่าสนใจมากกว่าเดิมมากกว่าครับ”

                “วันนี้กลุ่มคนดูมีความหลากหลายมากขึ้น และมีหลายกลุ่มที่พร้อมจะดูหนังที่มีเนื้อหาแตกต่างไปจากหนังสูตรสำเร็จที่ต้องตลก ต้องเป็นหนังผี วันนี้การแข่งขันในอุตสาหกรรมภาพยนตร์มันไม่ได้มีแค่คอนเทนต์เฉพาะกลุ่มเรา มันยังมีคนทำคอนเทนต์ในรูปแบบอื่นๆ ที่ทำให้เราต้องคิดหนักขึ้น ต่อสู้ดิ้นรนมากขึ้น คนทำหนังเป็นอาชีพจะรู้ว่า หนังที่ทำไม่ได้ Win ตลอดไป บางเรื่องก็ Win บางเรื่องก็ Fail เราก็ต้องเรียนรู้ทุกครั้งที่ทำ มันยากมากๆ ที่บอกว่าเรื่องนี้จะประสบความสำเร็จ เพราะทุกครั้งที่ทำเราก็ทำดีที่สุด สุดท้ายก็แค่หวังว่าหนังที่ทำจะพูดกับคนดูได้ หนังขาดทุนมันก็มีอยู่แล้ว นายทุนก็จะเจ็บตัว เราในฐานะคนทำหนังก็ไม่อยากให้เป็นแบบนั้น”

                “สำหรับการทำหนังเรื่องใหม่ ผมอยากทำหนังที่พูดถึงเรื่องราวของมนุษย์ ส่วนจะเป็นแนวไหนก็ตอบไม่ได้ เพราะผมไม่ได้ตั้งต้นที่แนวของหนัง รู้สึกว่าเรื่องราวต้องมาก่อน ส่วนแนวก็ค่อยว่ากัน ผมชอบทำงานโดยการหาวิธีการที่เหมาะสมกับโปรเจกต์ อย่างหลานม่าเป็นเรื่องชีวิตประจำวัน ผมก็อยากให้กองถ่ายมีบรรยากาศแบบชิลๆ ทุกคนไม่กดดัน หนังก็ออกมาดูเป็นธรรมชาติ วางแผนการถ่ายให้คิวไม่แน่นไป ให้ทุกคนสบายใจในการทำงาน บริหารกองให้ทุกคนมีคุณภาพชีวิตที่ดี เพื่อผลงานที่ดี นี่คือความสนุกในการทำงานของผม ผมว่าชีวิตคือการเปลี่ยนแปลง เราเคยรู้สึกสุขสมบูรณ์ แต่มันก็ไม่ได้ค้างอยู่แบบนั้นตลอดไป มันก็จะมีอะไรที่เปลี่ยนได้ เรียกว่าชีวิตเหมือนกราฟ มีขึ้นมีลง มันไม่มีตอนจบเหมือนหนัง ชีวิตยังมีความอยาก มีทุกข์บ้าง สุขบ้างตามวิถีมนุษย์ครับ”

                “ถ้าให้ผมนิยามความเป็นตัวตน 3 คำ ผมคิดว่า (ทำท่าครุ่นคิด) …เป็นคนรักแฟนมาก รู้จักเอาชีวิตรอด (หัวเราะ) ผมว่าผมเป็นคนที่ชอบเอาชนะ เยอะ แล้วก็เฮฮา ผมเป็นคนที่ต้องแก้ปัญหาให้ได้ ถ้าแก้ไม่ได้ก็ปล่อยไปเลย ไม่คร่ำครวญ ผมจะพยายามเข้าใจกับปัญหา ผมเยอะเพราะอยากทำงานให้ออกมาดีที่สุด แต่ทุกความตั้งใจก็ไม่ได้กดดันคนอื่น ทำทุกอย่างให้เป็นเรื่องสนุก ทุกคนรอบข้างก็จะมีความสุข ผมได้ไปดูหนังเรื่อง Challengers ของ Luca Guadagnino ช่วงท้ายที่มี Q&A ซึ่งมีคำตอบหนึ่งที่ติดอยู่ในใจผมมาก เขาบอกว่า สำหรับเขาขั้นตอนการทำหนังก็เหมือนการเก็บเกี่ยวสมาชิกในครอบครัวให้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ผมชอบความคิดแบบนี้มาก ยิ่งทำหนังยิ่งมีครอบครัวเพิ่มขึ้น มีเพื่อนเพิ่มขึ้น ผมจะยึดสิ่งนี้เป็นสรณะในการทำงาน ผมอยากมีคนที่เรารัก และมีคนที่รักเราเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ครับ”

Facebook Comments

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่

This site uses Akismet to reduce spam. Learn how your comment data is processed.