“บอส – นฤเบศ กูโน” โลดแล่นในวงการมากว่า 15 ปี วันนี้ผู้คนมากมายรู้จักเขาในฐานะผู้กำกับร้อยล้านจากภาพยนตร์เรื่อง “วิมานหนาม” ซึ่งได้รับฟีดแบ็กดีมาก จนเจ้าตัวรู้สึกปลื้มอยู่ไม่น้อย จริงๆ เขาเองเป็นผู้กำกับซีรีส์มือทอง ที่ไม่ว่าจะกำกับเรื่องไหนก็ดังเปรี้ยงปร้าง ซึ่งด้วยแพสชัน ความรัก และความมุ่งมั่นขั้นสุด ทำให้ทุกอย่างที่เขาทำต้องดีกว่านี้ได้อีก จนวันที่เขาเปิดบริษัท เริ่มเรียนรู้ชีวิตในวันที่รู้สึกว่าตัวเองเติบโตขึ้นกว่าเดิม ก็ได้เรียนรู้ว่า สิ่งที่ดีที่สุดจะอยู่คู่กับช่วงเวลาที่ดีที่สุด ฉะนั้นแค่ทำวันนี้ให้ดีที่สุด ชีวิตก็มีความสุขมากขึ้น
“หลังจากผมจบโปรเจกต์วิมานหนามไป ตอนนี้ก็เปิดบริษัทชื่อ LOOKE (ลู้คกี้) เป็นธุรกิจผลิตซีรีส์ ซึ่งเรื่องล่าสุดที่ทำคือ “GELBOYS สถานะกั๊กใจ” ซึ่งออนแอร์ที่ช่องวัน และเวอร์ชัน UNCUT บนแอปฯ iQIYI และ iQ.com ซึ่งเรื่องราวจะเป็นความสัมพันธ์ของ 4 หนุ่ม ผ่าน Pop Culture ของยุค Gen Z กับการทำเล็บเจลในย่านสยามสแควร์ นำเสนอผ่านลวดลายที่ไร้จำกัด ซึ่งสื่อถึงตัวตนของบรรดาวัยรุ่นที่ไม่มีข้อจำกัดเรื่องเพศ ซึ่งการกลับมาทำงานซีรีส์ถือเป็นการกลับมาทำงานที่คุ้นเคย ผมกำกับซีรีส์มาตั้งแต่ทำงานกับ “นาดาว” อย่างเรื่องฮอร์โมน Project S : Side by Side พี่น้องลูกขนไก่, แปลรักฉันด้วยใจเธอ ส่วน “วิมานหนาม” เป็นภาพยนตร์เรื่องแรกที่รับกำกับ หลังจากจบโปรเจกต์วิมานหนามก็กลับมาทำซีรีส์เจลบอยส์ต่อ จริงๆ ตอนรับงานกำกับวิมานหนามเพราะอยากลองทำอะไรที่มันสั้นๆ เล่าเรื่องราวจบภายใน 2 ชั่วโมง ก็เป็นงานที่สนุกดี ถ้ามีโอกาสก็อยากกลับไปทำอีก คิดว่างานหนังเหมือนเป็นงานเยียวยาหลังต้องทำงานหนักๆ กับซีรีส์ ซึ่งงานกำกับหนังยากตรงที่เราต้องเลือกเรื่องราว เลือกชอตมาร้อยเรียง บอกเล่าให้จบในเวลา 2 ชั่วโมง แต่ผมเป็นคน “เวิ่น” ก็เลยชอบงานซีรีส์ที่ได้ขยายความ มันสามารถพัฒนาความรู้สึกของตัวละครได้”
“การรับกำกับวิมานหนาม ตอนแรกอยากทำเพราะรู้สึกว่าเนื้อหาแปลกใหม่ แม้จะเป็นเนื้อหาเฉพาะกลุ่ม ตอนทำยังไม่แน่ใจว่าคนดูจะสนใจประเด็นนี้แค่ไหน ผมคาดเดาไม่ได้ว่าหนังแนว LGBTQIA+ จะได้การตอบรับแค่ไหน ซึ่งโปรดิวเซอร์ที่ GDH มองหนังเรื่องนี้ใหญ่มาก แม้จะเป็นเรื่องราวที่ทัชหัวใจคนเฉพาะกลุ่ม แต่พอทำออกมากลายเป็นว่า หลายคนอิน เพราะทุกคน Relate เรื่องให้เข้ากับชีวิตตัวเองได้ ซึ่งช่วงที่หนังฉายพอดีมีกฎหมายสมรสเท่าเทียมออกมา มีเคสข่าวคนกลุ่มนี้ทำธุรกิจร่วมกันสุดท้ายโดนพ่อแม่ยึดไปเพราะอีกฝ่ายเสียชีวิต ทำให้เรื่องราวเหล่านี้เป็นกระแสสังคม และการได้เจฟกับอิงฟ้า ซึ่งเป็นซูเปอร์สตาร์มาเล่นกับบทที่เหมาะสมจริงๆ คนดูรู้สึกอิน คนดูเชื่อ ประทับใจ ก็บอกต่อ”

“สำหรับความสำเร็จกับหนัง “วิมานหนาม” นอกเหนือจากปัจจัยที่บอกมาแล้ว บอสมองว่า บอสใส่สุด ทำเรื่องนี้ด้วยเป้าหมายที่ชัดเจน เราเริ่มต้นจากกลุ่มคนดูหนังที่เราคาดหวังเพียงกลุ่มเล็กๆ สุดท้ายกลุ่มเป้าหมายเราสามารถขยายได้ เรื่ององค์ประกอบอื่นๆ บท เสื้อผ้า หน้า ผม โลเคชัน เลือกให้เหมาะสมที่สุด มันกลายเป็นว่าเราได้เห็นเจฟ เห็นอิงฟ้าในลุคแบบนี้ เขาดราม่าได้ เขาดูเลอะ ดูชาวบ้านได้ ซึ่งต้องบอกว่านอกจากความตั้งใจแบบใส่สุดแล้ว ส่วนหนึ่งก็เกิดจากความโชคดีที่ได้นักแสดงที่ดี บทที่ดี ทีมงานดี บอสว่าการแคสติ้งเป็นเรื่องสำคัญมาก บางครั้งดูแล้วรู้สึกดี แต่ไม่เชื่อว่าเจฟกับอิงฟ้าคือเคมีเข้ากันสุดๆ ผมว่าหนังเรื่องไหนถ้าคนดูรู้สึกอิน ผมว่าหนังเรื่องนั้นจะประสบความสำเร็จ อย่างวิมานหนามมีคนพูดถึงเยอะมาก หนังทำเงิน ได้รางวัล ก็รู้สึกดีใจมาก”
“ธุรกิจภาพยนตร์ ละคร หรือซีรีส์จะต้องมีการวัดผล ทำให้ทุกครั้งผมต้องฟังเสียงคนดู ตอนทำรักฉุดใจ นายฉุกเฉิน โดนว่าเยอะมาก ตอนนั้นรู้สึกเฟลมาก สุดท้ายก็บอกตัวเองว่า ฟีดแบ็กที่ได้ก็เก็บไว้พัฒนาในครั้งต่อไป เราแค่ทำให้ดีที่สุด แต่ดีที่สุดก็ไม่ได้แปลว่าจะโดนใจทุกคน ก็เดินหน้าทำงานต่อ ผมชอบงานผู้กำกับมาก พอเปิดบริษัทตัวเองก็อินกับมันมาก เพราะเราได้พัฒนาทุกอย่างมาตั้งแต่เริ่มต้น มีศิลปินของเราเอง ได้โปรดิวซ์ ได้คิดโปรเจกต์ ได้สร้างผู้กำกับหน้าใหม่ ได้สร้างศิลปินใหม่ๆ มันคือความสุขที่เห็นผู้คนรอบข้างเติบโตขึ้น ผมเองเติบโตได้ก็เพราะคนรอบข้างดี เรามีเพื่อนร่วมงานดีก็มีความสุขกับการทำงาน แต่วันหนึ่งหมดแพสชันไม่เอนจอยก็อาจจะเลิกทำ ผมเคยเบิร์นเอาต์เรียกว่าท้อระหว่างทาง เพราะงานมันหนัก ใช้เวลานาน 2 ปี แต่พอผลลัพธ์ออกมาเหมือนได้เติมไฟ ก็อยากทำงานต่อ ชีวิตจะวนอยู่แบบนี้ (หัวเราะ)”
“บางครั้งการที่ผมคาดหวังกับทุกอย่าง อยากทำอะไรให้ดีที่สุด ชอบเอาชนะ และเป็นพวก Perfectionist ขั้นสุดนิสัยแบบนี้ถือเป็นดาบสองคม เพราะผมจะคิดว่ายังได้อีก จนทีมงานถามว่า ต้องแค่ไหนถึงดีที่สุด เพราะบางทีทำเสร็จไปแล้ว ดีแล้ว แต่พอไปเจอไอเดียอะไรแล้วปิ๊งก็จะแก้งานใหม่ คิดเสมอว่ามันดีได้อีก ที่ทำแบบนี้อาจเพราะทุกครั้งที่เราทำเราเห็นผลว่ามันดีจริง จะด้วยความถ่อมตนหรือเสพติดความรู้สึกแบบนี้หรือเปล่าไม่รู้ จนทุกคนบอกงานมันมีไทม์ไลน์ ฉะนั้นสิ่งที่ดีที่สุดจะอยู่คู่กับช่วงเวลาที่ดีที่สุด ตอนนี้ก็พยายามบาลานซ์ชีวิตให้ดีขึ้น พอเราโตขึ้นจะคิดว่าเวลาเป็นเรื่องสำคัญ ชีวิตคนเราไม่มีแค่การทำงาน เรามีครอบครัว มีสุนัขที่จะพาไปเดินเล่น คิดว่าแค่ทำวันนี้ให้ดีที่สุด ให้กำลังใจตัวเอง อย่า Negative และตั้งใจทำแค่ To do list มองชีวิตวันต่อวัน ความกลัวเป็นเรื่องของอนาคต ฉะนั้นอย่ากังวลกับสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้น ชีวิตก็จะมีความสุขมากขึ้นครับ”