วรรณี เจียรวนนท์ รอสส์ “ ติดอาวุธการศึกษา ควบคู่คุณธรรมสู่เยาวชน “

0
53

การศึกษาไม่ใช่แค่การเรียนรู้วิชาการ แต่ยังรวมถึงการพัฒนาทักษะชีวิต คุณธรรม และจิตสำนึกที่ดีต่อผู้อื่นและสังคม ด้วยความมุ่งมั่นนี้ คุณวรรณี เจียรวนนท์ รอสส์ ผู้ก่อตั้งและผู้อำนวยการโรงเรียนนานาชาติคอนคอร์เดียน จึงบูรณาการหลักสูตรระดับโลกเข้ากับการปลูกฝังคุณธรรม เพื่อสร้างรากฐานให้เด็กๆ เติบโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ที่สร้างคุณประโยชน์ในสังคมอย่างสมบูรณ์

“ปี 2025 นี้ โรงเรียนของเราก็จะฉลองครบ 25 ปีแล้วค่ะ ถ้ามองย้อนกลับไปจากจุดเริ่มต้น วันแรกโรงเรียนเล็กๆ ของเรามีนักเรียนเพียง 33 คน แต่ปัจจุบันมีราว 1,100 คน นอกจากการศึกษาที่เราใช้หลักสูตร International Baccalaureate (IB) ซึ่งเป็นหลักสูตรที่ได้การยอมรับทั่วโลก เรายังสนับสนุน     การสร้างเยาวชนให้เติบโตเป็นผู้นำที่มีคุณธรรม จริยธรรม และเมตตาธรรม เพื่อจะได้สร้างความเปลี่ยนแปลง หรือมีผลดีต่อสังคม นับเป็นปณิธานของเรา”

“ดิฉันจบทางด้าน Information Science แล้วมาต่อโททาง Marketing ส่วนเหตุผลที่ทำให้เปิดโรงเรียนนานาชาติคอนคอร์เดียน (Concordian International School) เพราะย้อนกลับไปประมาณ 26 กว่าปีก่อน ตอนหาโรงเรียนให้ลูกที่ฮ่องกง ได้เห็นว่าเขาต้องการให้นักเรียนมีส่วนเปลี่ยนแปลงโลกให้ดีขึ้น เลยอยากให้ประเทศไทยมีโรงเรียนแบบนี้บ้าง อีกเหตุผลหนึ่งคือ ดิฉันมีความเลื่อมใสในวิสัยทัศน์ของในหลวงรัชกาลที่ 9 ที่ทรงวางรากฐานการใช้สื่อทางไกลผ่านดาวเทียมและจัดการเรียนการสอนถ่ายทอดทางโทรทัศน์จากโรงเรียนวังไกลกังวล ในพระบรมราชูปถัมภ์ ผ่านช่อง UBC (ปัจจุบันเปลี่ยนเป็น True Visions) เพื่อแก้ปัญหาการขาดแคลนครูในพื้นที่ชนบทและถิ่นทุรกันดาร และปัญหาความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาของประเทศไทย ซึ่งดิฉันคิดว่าเป็นเรื่องที่น่าอัศจรรย์ใจมากในยุคนั้น การศึกษาน่าจะตอบโจทย์ที่เราอยากจะทำอะไรกลับคืนให้ประเทศได้ แม้ผลลัพธ์อาจจะต้องรอนานหน่อย เพราะต้องใช้เวลากว่าลูกศิษย์แต่ละคนจะเรียนจบ เติบโตมีหน้าที่การงานที่จะมีโอกาสทำสิ่งดีๆ ให้สังคม”

“ระบบ IB ของที่นี่เป็นการสอนที่เน้นให้เด็กๆ สามารถคิดวิเคราะห์และใช้ข้อมูลจากการค้นคว้าอย่างมีเหตุผล สมมติเรียนเรื่อง “ยุคสำรวจล่าอาณานิคม” เด็ก ป.5 จะสามารถวิเคราะห์ออกมาได้ว่า การออกสำรวจโลกใหม่เป็นสิ่งที่ดี แต่เราไม่จำเป็นต้องไปยึดครอง ทำไมเราไม่แลกเปลี่ยนหรือแบ่งปันกันแทน แล้วเราฝึกให้นักเรียนค้นหาข้อมูลจากแหล่งต่างๆ มีโปรเจกต์ต่อเนื่องกันรวม 6 ครั้งต่อปี ทำให้เด็กได้ทำงานกลุ่ม ฝึกการเป็นผู้นำและเรียนรู้ที่จะทำงานกับเพื่อนร่วมงานหลากหลายอุปนิสัยตลอดทั้งปี ซึ่งในชีวิตจริงเป็นเรื่องสำคัญมาก นอกจากนี้เรายังสอนให้เด็กมีส่วนร่วมกับเหตุการณ์ที่ส่งผลกระทบในสังคม ผ่านกิจกรรมการกุศลที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นการทำอาหาร การผลิตและจำหน่ายสินค้าต่างๆ หรือการขายตั๋วบัตรเข้าชมละครเวทีหรือคอนเสิร์ตที่นักเรียนเป็นผู้แสดง รายได้จากกิจกรรมเหล่านี้จะนำไปมอบให้แก่องค์กรกุศลหลายแห่ง เด็กมัธยมต้นมีการออกไปทำกิจกรรมช่วยเหลือสังคมทุกอาทิตย์ สลับกันออกไป ทุกโปรเจกต์ที่นักเรียนทำตั้งแต่เล็กจนโตก็ต้องสามารถทำให้นักเรียนรับรู้ถึงผลกระทบที่มีต่อสังคม นอกจากนี้ เรายังมี Concordian Dragon Fund ซึ่งเป็นกองทุนที่เกิดจากการระดมทุนของนักเรียน เพื่อนำไปช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย รวมถึงการสนับสนุนทุนทรัพย์สำหรับการสร้างหรือปรับปรุงโรงเรียนในพื้นที่ชายแดนหรือถิ่นทุรกันดารในประเทศไทย ซึ่งเป็นโครงการที่นักเรียนของเราได้มีส่วนร่วมลงพื้นที่ปฏิบัติจริงด้วย อีกทั้งยังใช้ในการจัดซื้อสิ่งของเพื่อให้นักเรียนช่วยกันแพ็กและส่งไปให้พื้นที่ประสบภัย หรือแม้แต่ผู้ปกครองเองก็มีการมาร่วมด้วยช่วยกัน”

“ปัจจุบันเมื่อโลกเปลี่ยนไปสู่ยุคดิจิทัล ภายในโรงเรียนของเรามีการสร้างเกราะป้องกันไว้ระดับหนึ่ง ถ้าเด็กใช้ Wi-Fi หรือ Register เข้าใช้อีเมลในโรงเรียน จะมีการบล็อกทุกอย่างที่สุ่มเสี่ยง คอยสอนเรื่องข้อควรระวังและภัยจากการท่องเว็บ ให้เขารู้จักยับยั้งชั่งใจ แต่ผู้ปกครองเองก็ต้องให้ความสำคัญและสนใจเรื่องพวกนี้ด้วย เพราะทางโรงเรียนสามารถป้องกันได้ในระดับหนึ่ง แต่ครอบครัวยังคงถือเป็นเกราะคุ้มครองที่ดีที่สุดสำหรับเขา อันที่จริงดิฉันเองก็มีเข้าไปสอนนักเรียนอยู่บ้าง แต่ละชั้นเรียน ตั้งแต่ ป.6 เด็กทุกคนจะได้เจอกันอย่างน้อยปีละ 4 ครั้ง โดยนำเคสจริงมาให้เขาได้วิเคราะห์ สอนให้รู้จักคิดด้วยตัวเอง”

“สำหรับการสอดแทรกคุณธรรม เราต้องฝึกให้เขาแยกแยะได้ว่าอะไรถูกอะไรผิด นั่นเป็นเรื่องสำคัญที่สุด เราถึงต้องเรียนการวิเคราะห์ให้มากขึ้น แทนที่จะเรียนแบบท่องจำ ยิ่งเรื่องของคุณธรรมในทุกสาขาอาชีพและธุรกิจ เป็นสิ่งที่ดิฉันคิดว่าสำคัญมาก และมักบอกนักเรียนเสมอ ไม่อยากให้พูดว่า ‘ใครๆ เขาก็ทำกัน’ หรือ ‘ใครๆ เขาก็พูดกัน’ เป็นประโยคที่แม้แต่ผู้ใหญ่ก็ควรต้องระวัง เมื่อราว 10 ปีที่แล้ว ดิฉันเคยเจอเด็ก ป.5 คนหนึ่งบอกว่า เขาจะไม่เลือกเพื่อนคนนี้ทำงานด้วย เพราะชอบชวนให้โหวตยกมือเป็นประชาธิปไตยเวลาทำงานกลุ่ม เนื่องจากบางครั้งเพื่อนหลายคนไม่อยากทำงานนี้ เลยพากันยกมือว่าจะไม่ทำ ทั้งๆ ที่สิ่งนี้ควรต้องทำ เขาได้เข้าใจและเรียนรู้ว่าบางเรื่องแม้แต่เสียงส่วนมากก็ไม่ใช่เรื่องที่ถูกเสมอไป ดิฉันรู้สึกอัศจรรย์ใจกับเด็ก ป.5 ที่สามารถแยกแยะและเข้าใจเรื่องนี้ได้”

“หลายคนเคยถามว่าในอนาคตจะขยายโรงเรียนให้ใหญ่ขึ้นกว่านี้ไหม คงไม่ขยายค่ะ อยากดูแลนักเรียนอย่างใกล้ชิด เห็นมาตั้งแต่เล็ก ทุกคนได้รับการดูแลเสมือนลูก หรือแม้แต่การไกด์เรื่องเลือกมหาวิทยาลัย เราจะแนะนำได้ถูกทางก็ต้องมีการพูดคุยเข้าถึงทุกคนอย่างลึกซึ้ง เพราะดิฉันมีความเชื่อว่าเด็กๆ ทุกคน มีความสามารถพิเศษในตัวเอง หน้าที่ของเราคือค้นหาจุดพิเศษนั้นให้เจอ อาจเป็นเหตุผลหนึ่งที่เด็กของเราไม่ว่าจะเรียนเก่งมากหรือเก่งน้อย แต่สุดท้ายก็สามารถเข้ามหาวิทยาลัยที่ดีและเหมาะสมที่สุดสำหรับเขาได้ อีกทั้งเรายังมักได้ยินข่าวดีจากผู้ปกครองว่าลูกหลานที่จบไปแล้วมีความกตัญญู กิริยา มารยาทดี นิสัยดี เข้ากับสังคมได้ดีทั้งไทยและเทศ” “จากการทำงานอยู่ในแวดวงการศึกษา ดิฉันอยากเห็นเด็กไทยได้รับการเรียนด้านภาษาที่ดีขึ้น ควรนำเทคนิคการสอนแบบ Phonics มาใช้สอนภาษาอังกฤษ เพราะจะทำให้เด็กอ่านและพูดโดยออกเสียงได้ถูกต้อง ช่วยให้ภาษาอังกฤษดีขึ้นอย่างรวดเร็ว อีกสิ่งหนึ่งคือความรู้นั้นมีอยู่ทุกแห่ง ดิฉันไม่เชื่อว่าคนที่เรียนดีที่สุดจะประสบความสำเร็จในชีวิตที่สุด เพราะก็ยังมีคนมากมายที่ไม่ได้เรียนจบสูง สามารถประสบความสำเร็จในชีวิตได้ แต่แน่นอนว่าการศึกษาก็คล้ายหลักประกันว่าถ้าทำธุรกิจเองไม่สำเร็จ อย่างน้อยก็ยังมีความรู้ไปหางานทำ เพื่อช่วยเหลือตัวเองหรือดูแลครอบครัวและคนที่เรารักได้ ดิฉันเชื่อว่าความสำเร็จมาจากความมุ่งมั่น ขยันหมั่นเพียร ไม่ยอมแพ้ที่จะลุกขึ้นมาสู้ใหม่และตั้งใจทำต่อไป ไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าคุณเรียนสูงแค่ไหน หรือมหาวิทยาลัยของคุณจะอยู่ระดับไหนของโลก และที่สำคัญที่สุดคือมีเมตตาธรรมและคุณธรรมอยู่ในใจ”

Facebook Comments

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่

This site uses Akismet to reduce spam. Learn how your comment data is processed.