“House of Littlebunny กระเป๋าดีเอ็นเอสัญชาติไทยที่อยากจะเป็นแบรนด์โลคอลที่ชาวต่างชาติต้องมาซื้อกลับบ้าน” ประโยคสุดทัชใจที่ทาง CEO สาวคนเก่ง คุณมิ้ง – ลักษิกา กรรณสูตร ได้เกริ่นถึงในวาระครบรอบ 10 ปีแห่งการเติบโตและเตรียมพร้อมก้าวสู่ความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ทั้งในและต่างประเทศ
เมื่อกล่าวถึงจุดเริ่มต้นของการสร้างแบรนด์ คุณมิ้ง ลักษิกา เกริ่นให้ฟังว่า “แบรนด์ House of Littlebunny เกิดมาจากความชอบส่วนตัวที่ชอบสะสมกระเป๋าและคิดว่าทำไมถึงไม่มีแบรนด์กระเป๋าที่เหมาะสำหรับวัยรุ่นที่มีความลักชูรีในราคาหลักพันและทำออกมาหลายๆ สีให้สะสม จึงได้ตัดสินใจทำแบรนด์ขึ้นมาเอง ส่วนชื่อของแบรนด์ ทำไมต้องชื่อ Littlebunny ต้องย้อนกลับไปในตอนนั้น เราคิดถึงแค่ว่า อะไรที่จะนำเสนอความเป็นตัวตนของเรามากที่สุดแล้วก็ชอบอะไรที่มีความน่ารักเลยนึกถึงกระต่าย Littlebunny เจ้ากระต่ายน้อย แต่ถ้าเราเปิดขายออนไลน์ใน IG คนก็เข้าใจผิดไม่รู้ว่าขายอะไรเลยเป็นที่มาของชื่อ Littlebunnystore เมื่อย้อนกลับไปเมื่อ 10 ปีที่แล้ว จากเด็กสาวอายุ 19 เราได้เติบโตขึ้น ได้มีมุมมองที่กว้างขึ้นจนเมื่อประมาณ 3 ปีที่แล้วได้รีแบรนด์เปลี่ยนชื่อเป็น House of Littlebunny กลายเป็นบ้านของเจ้ากระต่ายน้อย จากร้านเล็กๆ ได้มีการขยับขยายร้านที่ใหญ่ขึ้น มีการแตกไลน์สินค้าให้หลากหลายมากขึ้น ไม่ได้ขายแค่กระเป๋าเพียงอย่างเดียวอีกต่อไป”
“ต้องบอกก่อนว่าเมื่อ 10 ปีที่แล้วการทำตลาดออนไลน์จะมีความง่ายกว่าในปัจจุบัน สมัยก่อนโซเชียลมีเดียเป็นอะไรที่ใหม่ แค่โพสต์คนเห็นก็ตื่นเต้นเกิดการซื้อแล้ว แต่ปัจจุบันมีการแข่งขันกันสูง กลยุทธ์การตลาดทุกอย่างซับซ้อน แม้กระทั่งโซเชียลมีเดียก็มีหลายแพลตฟอร์ม ซึ่งสำหรับ House of Littlebunny มิ้งได้ใช้ตัวเองเป็นเหมือนสปีกเกอร์ของแบรนด์ ทำเอง รีวิวเอง และสามารถบอกให้ลูกค้าได้เข้าใจในตัวสินค้าและตัวแบรนด์ เรียกว่าใช้ตัวเองมาเป็นหนึ่งในกลยุทธ์ทางการตลาดที่ประสบความสำเร็จของแบรนด์”
House of Littlebunny กับการเติบโตแบบก้าวกระโดด “House of Littlebunny วันนี้เดินทางมาครบ 10 ปีแล้ว แบรนด์ของเราถือว่าเป็นการเติบโตแบบก้าวกระโดดมาก ถ้านับจากวันแรกจนมาถึงวันนี้ เพราะเราเริ่มต้นจากศูนย์ แต่ระหว่างทางก็เหมือนเราค่อยๆ เติบโตมาเรื่อยๆ จุดแข็งของแบรนด์อยู่ที่ความเป็นตัวตนที่มีมาเสมอโดยเฉพาะความน่ารัก ไม่ว่าเราจะเริ่มต้นทำแบรนด์มาตั้งแต่อายุ 19 ตอนเป็นวัยรุ่นวันนี้มิ้งอายุ 30 เราเติบโตขึ้นมีความเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น แต่สิ่งที่เราสื่อออกมากับตัวแบรนด์กับตัวโปรดักต์ก็ยังคงความน่ารัก ภาพลักษณ์ยังคงความน่ารักแต่เพิ่มความลักชูรีเข้ามาด้วยวัยวุฒิที่โตขึ้น”
การแข่งขันในอุตสาหกรรมแฟชั่นในปัจจุบันคือการเอาชนะใจลูกค้า “เราไม่ได้แข่งกันเองของตัวแบรนด์ แต่เราแข่งกันหาที่ว่างในใจลูกค้า ลูกค้าไม่ได้เลือกเราระหว่าง A กับ B แต่เขาบอกว่า เขารัก A ยังไงเขาก็จะซื้อ A ตรงนี้คือเราแข่งกันชนะใจลูกค้ามากกว่า”

ถามถึงความท้าทายของการทำธุรกิจแฟชั่น CEO สาวคนเก่งมองว่า “การทำธุรกิจแฟชั่นต้องใช้ความอดทน เพราะมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา เทรนด์มาแล้วก็ไป ทีนี้สำหรับคนที่ไม่มีความอดทน ไม่ยอมให้โอกาสตัวเอง จับเทรนด์ไม่ถูก พอล้มเหลวแล้วก็เปลี่ยนไปทำอย่างอื่น แฟชั่นต้องใช้ความอดทนและอยู่กับสิ่งนั้นให้ได้ ต้องชอบจริงๆ ซึ่งหลักการทำงานของมิ้งส่วนตัวเป็นคนทำอะไรเต็มที่ มี 100 ให้ 120 เต็มที่ทุกอย่าง ตอนเด็กเคยเป็นนักกีฬาสเกตน้ำแข็ง เราต้องทุ่มเทเวลาฝึกซ้อม ใช้ความอดทน ฉะนั้นตรงนี้เลยทำให้เป็นคนรู้คุณค่าของการลงมือทำ และการจะทำให้ประสบความสำเร็จต้องอาศัยแรงที่เกินร้อย เพราะถ้าลงแรงแค่ 90 จะไม่มีทางไปถึง 100 ต้องเกินร้อยไว้ก่อนแล้วจะจบที่ร้อยพอดี”
ในส่วนของความสำเร็จในวันนี้ คุณมิ้ง – ลักษิกา บอกว่า “รู้สึกภูมิใจมากด้วยความที่เราเริ่มจากศูนย์ จากเด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่มีอินสตาแกรมแล้วถ่ายรูปกระเป๋าใบเดียวแล้วโพสต์ขาย แต่วันนี้เราสามารถไปไกลถึงต่างประเทศ รู้สึกภูมิใจมาก มาไกลเกินฝันไปไกลจริงๆ ตอนนั้นอยากเพียงประสบความสำเร็จ แต่ตอนนี้ House of Littlebunny สามารถออกไปวางขายในต่างประเทศได้แล้ว แต่ในอนาคตภาพใหญ่เลยอยากให้ House of Littlebunny เป็นแบรนด์ที่แข็งแกร่งและอยู่ได้ตลอดไป และเป็นแบรนด์สัญชาติไทยที่เชิดหน้าชูตาคนไทยตลอดไป พอเป็นแบรนด์คนไทยแล้วนักท่องเที่ยวจะให้คุณค่าเหมือนมาประเทศไทยแล้วต้องซื้อเป็นของฝาก ซึ่งเราภูมิใจตรงนี้มาก”