กว่า 20 ปีที่คุณโต้ง – บรรจง ปิสัญธนะกูล เดินทางบนถนนสาย “ภาพยนตร์” ในฐานะผู้กำกับพันล้านที่ประสบความสำเร็จจากหนังเรื่อง “พี่มาก..พระโขนง”, “ร่างทรง”, “กวน มึน โฮ”, “สี่แพร่ง”, “5 แพร่ง” และอีกหลายๆ เรื่อง ซึ่งแน่นอนว่ากว่าเขาจะเดินมาถึงจุดสูงสุดอย่างทุกวันนี้มันไม่ใช่ง่ายๆ ไม่มีใครรู้ว่าหนังที่ทำจะสร้างเม็ดเงินแค่ไหน จะได้กล่องหรือเปล่า แค่อินกับมัน ทำทุกอย่างให้ดีที่สุด และทำให้ดียิ่งขึ้นกว่าเดิม
“โปรเจกต์ล่าสุดผมได้โปรดิวซ์ภาพยนตร์เรื่อง “ซองแดงแต่งผี” ซึ่งได้บิวกิ้น (พุฒิพงศ์ อัสสรัตนกุล) กับพีพี (กฤษฏ์ อำนวยเดชกร) มาเล่นคู่กัน ส่วนงานอื่นๆ ก็อยู่ระหว่างขั้นตอนการคิดและพัฒนา แต่เชื่อว่าจะมีโปรเจกต์ใหม่ๆ ให้เห็นในอนาคตครับ ถ้าถามผมว่าบ้านเรา เนื้อหาของหนังจะต้องเป็นหนังผีหรือหนังตลกเท่านั้นถึงจะ Success ผมว่าไม่จริงเสมอไป หนังผี หนังตลก เจ๊งก็เห็นมาเยอะ วันนี้หนังม้ามืดอย่าง “หลานม่า” และ “วิมานหนาม” กลับทำรายได้ท่วมท้น ถ้าคนติดตามวงการหนังจริงๆ จะรู้ว่าเดี๋ยวนี้ทำหนังแต่ละเรื่อง ทำนายอะไรไม่ได้เลย ผมว่าหนังที่ประสบความสำเร็จจะต้องมีความสดใหม่ มีความเข้มข้นบางอย่างที่เรียกร้องให้คนออกมาดู คนดูหนังตลาดก็ยังมีอยู่ แต่หนังที่มีความต่าง คนดูไม่เคยสัมผัสได้จากงานที่เคยดูประจำ เมื่อผนวกกับคุณภาพของบท นักแสดง ภาพรวมของหนัง และองค์ประกอบอื่นๆ ก็มีส่วนสัมพันธ์กันทั้งหมดซึ่งเราจะเห็นได้ชัดจากหลานม่า”
“ผมมองว่าสูตรสำเร็จของวงการหนังไม่เคยมีอยู่จริง บางครั้งทำหนังแนวพาณิชย์ ใช้นักแสดงเป็นแม็กเน็ตดึงคนดู สุดท้ายหนังขาดทุนก็มี ธุรกิจภาพยนตร์เป็นธุรกิจที่ปราบเซียนที่สุดในโลก การทำหนังแล้วได้เงิน ได้กล่อง มันคือความสำเร็จ คือความ Success แต่ยากมาก ในฐานะผู้กำกับผมต้องเอาชนะตัวเอง เอาชนะคนดู ถือว่าเป็นงานที่ท้าทาย และเหนื่อยมาก แต่ผมรักที่จะทำงานนี้เพราะรู้สึกสนุกกับมัน ผมไม่เคยมีคำถามกับตัวเองเลยว่า ผม Success แล้วหรือยัง แค่รู้สึกว่าอยากทำหนังให้ดีขึ้นเรื่อยๆ อยากทำหนังที่เราเองก็อยากดู และหวังว่าคนดูก็อยากดู ชีวิตผมไม่เคยพูดว่า “เอาแค่นี้แหละ” เพราะว่าหนังแต่ละเรื่องที่ทำ เราต้องใช้เวลากับมันอย่างน้อยๆ ก็ 2 ปี ฉะนั้นทุกอย่างต้องดีที่สุด ถึงจะเครียดมาก แต่ก็มีความสุขที่ได้ทำ ผมว่างานที่ทำเดิมพันมันสูงมาก ทำงาน 2-3 ปี สุดท้ายก็โดนตัดสินในเวลาแค่ 3-4 วัน เจ๊งก็เจ๊งเลย (หัวเราะ) แต่สุดท้ายก็ต้องสู้ต่อ”

“สิ่งที่ผมทำมันไม่ใช่แค่ผมอยากทำ ผมพยายามหาเรื่องที่อยากเล่า เรื่องที่เราก็ตื่นเต้นไปกับมัน คิดว่าถ้าเราเป็นคนดู เราอยากดูอะไร ไม่ได้คิดว่าทำนี่เถอะ ได้ตังค์ ไม่งั้นทุกคนที่ทำหนังก็รวยกันทุกคน หนัง 100 เรื่อง เจ๊งไปแล้ว 90% แต่ก็มีคนอยากทำเรื่อยๆ ผมก็ไม่รู้ว่าเพราะอะไร คิดว่าน่าจะเป็นความเข้าใจผิด (หัวเราะ) ถ้าถามผมทำหนังมันสนุกยังไง ก็ต้องบอกว่า “ผมทำอย่างอื่นไม่เป็น” ผมชอบดูหนังก็เลยรักที่จะทำหนัง เวลาทำหนังมันใช้ทุกศาสตร์ที่เรียนมา เขียนบท กำกับบท กำกับการแสดง กำกับศิลป์ ถ่ายภาพ ดนตรี ทำงานทุกครั้งก็รู้สึกอินกับสิ่งที่เราทำ สนุกกับมัน เป็นผู้กำกับหนังดียังไงก็ตอบไม่ได้ แต่แค่รู้สึกว่าทุกครั้งที่ทำเรื่องใหม่ ก็มีโลกใหม่ๆ ให้เราได้เข้าไปสำรวจ ตอนทำ “ร่างทรง” ผมเดินทางไปทั่วภาคอีสานและภาคเหนือเพื่อหาเรื่องราวบางอย่าง ได้ค้นหาชีวิตมนุษย์ ได้สำรวจความเชื่อ และศรัทธาของตัวเอง ได้ไปเจอร่างทรงที่ไม่จริงเลย แต่คนเขาก็เชื่อกัน เข้าใจว่าเมื่อคนเราเจ็บป่วยก็อยากมีที่พึ่งทางใจ ร่างทรงก็เป็นเหมือนจิตแพทย์ เราเป็นใครที่จะไป judge เขา การทำหนังเหมือนการเดินทางของชีวิต เราได้ไปในโลกที่แปลกใหม่ ซึ่งสนุกมาก”
“ผมเป็นคนที่อินกับงาน ถ้ามีเพื่อนร่วมงานก็อยากให้เขาอินเหมือนกัน ผมไม่ชอบคนที่ทำงานแบบรูทีนชอบความกระตือรือร้น ชอบเพื่อนร่วมงานที่พร้อมสนุกไปด้วยกัน ผมมีแพสชันกับงานมากๆ ถ้าให้นิยามความเป็นโต้ง บรรจง ผมมองตัวเองเป็นคนบ้าพลัง ขำๆ แล้วก็เนิร์ด ผมเป็นคนบ้างานมาก มีความสุขที่ได้ทำงาน แม้จะอยู่ในสถานการณ์ที่เครียดที่สุด เครียดจนจะตายอยู่แล้ว แต่ผมก็ทำให้คนรอบข้างหัวเราะได้ แม้จะเป็นการประชดประชันก็เถอะ (หัวเราะ) ทำงานมา 20 ปี แต่ไม่เคยหมดไฟ ผมเป็นคนทะเยอทะยาน เป้าหมายชีวิตคืออยากให้หนังไทยโกอินเตอร์ ความ World Wide มันทำให้เรามีโอกาสได้ทำงานที่หลากหลายมากขึ้น ผมเชื่อมั่นว่าไอเดียที่แข็งแรงจะพาเราก้าวไปข้างหน้า ยิ่งมีเส้นทางอื่นๆ ให้เดิน ก็ยิ่งรู้สึกสนุกที่จะได้เริ่มต้นทำงานบนแนวคิดที่ต่างออกไป” “ช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ต้องยอมรับว่า หนังไทยที่ประสบความสำเร็จมีเนื้อหาที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น สัปเหร่อ, หลานม่า, วิมานหนาม, ธี่หยด ผมชอบเรื่องสัปเหร่อมาก ตื่นเต้นกับการนำเสนอและยอดรายได้ หนังเหล่านี้สามารถดึงดูดให้คนออกจากบ้านมาดูหนังได้ ผมมีความหวังกับหนังไทยมากขึ้น ไม่ติดกับคำว่าหนังผีหรือตลก แค่ขอให้มันดี มีคุณภาพเถอะ อย่างวิมานหนามกับหลานม่าที่เป็นหนังดราม่าแต่มีคนดูเยอะมากๆ หรืออย่างหลานม่าได้เข้าชิงรางวัลออสการ์ จนได้รับคัดเลือกเข้ารอบ 15 เรื่อง สาขาภาพยนตร์ต่างประเทศ ยิ่งทำให้ผมตื่นเต้น ก็หวังว่าจะมีหนังดีๆ ที่ได้เสียงตอบรับจากคนดูเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ผมเองก็จะพยายามทำงานให้ดีที่สุด และจะสู้ต่อไปในฐานะผู้กำกับคนหนึ่งครับ”